วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สะพานสารสิน ตำนานรักแท้ที่จบลงด้วยความเศร้า จ.ภูเก็ต

                                                                               ตำนานรักสะพานสารสิน

               

                                                                                                             สะพานสารสิน

                จุดเริ่มต้นความรักของชายหนุ่มขับรถโปท้อง (รถสองแถว) นามว่า โกดำ แซ่ตัน และหญิงสาวชื่อ กิ๋ว กาญจนา แซ่หงอ ชาวตำบลท่าฉัตรไชย จังหวัดภูเก็ต ก็คงไม่ผิดแผกจากความรักธรรมดาทั่วไป ความสิเน่ห์หาเริ่มผลิบานในสองดวงใจอันบริสุทธิ์ เขาสองคนหลงรักซึ่งกันและกัน แต่อุปสรรคที่สังคมในขณะนั้นยัดเยียดให้พวกเขา คือ ความแตกต่าง โกดำเป็นเพียงคนหาเช้ากินค่ำ ส่วนกิ๋วคือนักศึกษาวิทยาลัยครู ผู้พรั่งพร้อมไปด้วยชาติตระกูลและฐานะทางสังคม

รูปของโกดำ และ กิ๋ว

               ภาพความสดใสของความรักที่มนุษย์คู่หนึ่งพึงมีสิทธิ์ จึงกลายเป็นภาพความมืดมนสิ้นหวัง ในสายตาคนรอบข้างโดยเฉพาะครอบครัวของกิ๋ว พ่อได้พิพากษาความรักของลูกสาวตนกับโกดำผู้ด้อยค่าในทันทีที่ทราบเรื่อง พ่อเลี้ยงกิ๋วแบบเผด็จการไม่ให้อิสระทางความคิด และมุ่งหวังให้ลูกสาวตนได้แต่งงานกับคนฐานะดี มีชาติตระกูล ถึงแม้กิ๋วจะโตจนมีอาชีพเป็นครูแล้ว พ่อก็ยังกีดขวางทุกหนทางเพื่อให้ความรักต้องห้ามในสายตาของเขาสิ้นสุดให้จนได้ โกดำเป็นของแสลงในจิตใจพ่อของกิ๋วอย่างไร้เหตุผลที่จะผ่อนปรนลงได้
ทั้งกิ๋วและโกดำ ย่อมรู้ดีถึงอุปสรรคที่ตนเองจะต้องพานพบหากริเริ่มครองรักด้วยสภาพสังคมในขณะนั้น พวกเขาจึงใช้ความพยายามทุกวิถีทางเพื่อเป็นบทพิสูจน์ให้ผู้เป็นพ่อได้เห็นถึงความรักที่มีให้แก่กัน แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่เป็นผล เมื่อผู้เป็นพ่อของฝ่ายหญิงไม่ยอมเปิดใจ หลายครั้งที่กิ๋วถูกบิดากักขังและทุบตีเยี่ยงทาส เพราะแอบลักลอบพบกับโกดำ อีกทั้งพ่อยังไม่ละความพยายามในการยัดเยียดลูกสาวให้กับเศรษฐีมีเงิน ถึงผู้เป็นพ่อจะแข็งกร้าวต่อหัวใจของลูกสาว แต่ความรักและการพยายามฝ่าฟันอุปสรรคของโกดำและกิ๋ว สามารถชนะใจชาวบ้านท่าฉัตรไชยได้จากการไม่เป็นที่ยอมรับในตอนแรก ชาวบ้านทุกคนทราบดีถึงความรักที่มีอุปสรรคครั้งนี้ หลายคนพยายามเกลี้ยกล่อมพ่อของกิ๋วให้ยอมรับโกดำเป็นลูกเขย แต่ก็ไม่ได้รับการยินยอมไม่ว่าจะด้วยวิถีทางใด
               ความรักต่างวรรณะแบบนี้อาจฟังดูเหมือนนิยายน้ำเน่าด้อยราคาที่ผู้คนเย้ยหยัน หากลองเปลี่ยนเรื่องอีรุงตุงนังเช่นนี้ให้บังเกิดในจอตู้หรือบนกระดาษที่มนุษย์ปรุงแต่ง พระเอกอย่างโกดำอาจพากิ๋วนางเอกในดวงใจของเขาหนีตามกันไปให้รู้แล้วรู้รอด หรือไม่โกดำอาจจะดิ้นรนจนกลายเป็นเศรษฐีสมใจพ่อตา แย่ไปกว่านั้นกิ๋วอาจตัดสินใจแต่งงานกับคนรวยทิ้งโกดำให้เกิดรอย ‘แผลเก่า’ ช้ำทรวง แต่โลกแห่งความเป็นจริงมันช่างห่างไกลและไร้ซึ่งความหวัง นอกจากทั้งสองจะถูกลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์แล้ว โชคชะตายังเล่นตลกให้พวกเขาต้องมาพบกัน รักกัน และพัดพรากจากกัน ทั้งโกดำและกิ๋วไม่มีแม้เต่โอกาสที่จะอุทธรณ์โชคชะตาของพวกเขาได้
        ในที่สุดเมื่อหัวใจของคนทั้งสองถูกย่ำยีจนหมดแล้วซึ่งความหวัง ภาพการได้ครองรักเช่นคู่รักธรรมดาทั่วไปเลือนลางไปจากทุกห้วงคำนึงของเขาและเธอ เหลือแต่เพียงลมหายใจอันรวยริน… ยากจะคาดเดาว่าในช่วงเวลานั้นกิ๋วและโกดำมีความรู้สึกอื่นใดนอกจากความสิ้นหวัง สะพานสารสินตั้งตระหง่านอย่างเดียวดายเพื่อเป็นสักขีพยานให้แก่สองหัวใจที่ระทมโศกเศร้า ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2516 เขาทั้งสองคนได้เตรียมนำผ้าขาวม้าผูกมัดหัวใจทั้งสองแล้วก้าวย่างขึ้นบนราวสะพาน ตัดสินใจกระโดดลงไปในน้ำเพื่อประสงค์ปลิดชีวิตของพวกเขาเอง การผูกมัดผ้าเข้าด้วยกันอาจสื่อถึงการที่พวกเขาจะได้อยู่คู่กันไม่ต้องพลัดพรากกันอีกต่อไป แม้เเต่ความตาย เวลาต่อมาก็ได้พบร่างไร้วิญญาณของทั้งสอง สร้างความเสียใจสะท้านความรู้สึกของชาวบ้านท่าฉัตรไชยเสมอมา

        ตำนานสะพานรักสารสิน ได้ถูกนำมาแสดงเป็นภาพยนต์ นำแสดงโดย จินตรา สุขพัฒน์ และ รอน บรรจงสร้าง  ในปี พ.ศ. 2530

ตำนานเมือง ลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์

                                               เมือง ลับแล


           เมืองลับแลนั้นเป็นอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ แต่เดิมคงเป็นเมืองที่การเดินทางไปมาไม่สะดวก เส้นทางคดเคี้ยว ทำให้คนที่ไม่ชำนาญทางพลัดหลงได้ง่าย จนได้ชื่อว่าเมืองลับแล ซึ่งแปลว่า มองไม่เห็น มีเรื่องเล่ากันว่าคนมีบุญเท่านั้นจึงจะได้เข้าไปถึงเมืองลับแล
           ตำนานนี้เล่ากันสืบมาว่า ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่ง (น่าจะเป็นคนเมืองทุ่งยั้ง) เข้าไปในป่า ได้เห็นหญิงสาวสวยหลายคนเดินออกมา ครั้นมาถึงชายป่า นางเหล่านั้นก็เอาใบไม้ที่ถือมาไปซ่อนไว้ในที่ต่างๆ แล้วก็เข้าไปในเมือง ด้วยความสงสัยชายหนุ่มจึงแอบหยิบใบไม้มาเก็บไว้ใบหนึ่ง ตกบ่ายหญิงสาวเหล่านั้นกลับมา ต่างก็หาใบไม้ที่ตนซ่อนไว้ ครั้นได้แล้วก็ถือใบไม้นั้นเดินหายลับไป มีหญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ไม่พบ เพราะชายหนุ่มแอบหยิบมา นางวิตกเดือดร้อนมาก ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืนใบไม้ให้ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือ..ขอติดตามนางไปด้วยเพราะปรารถนาจะได้เห็นเมืองลับแล หญิงสาวก็ยินยอม นางจึงพาชายหนุ่มเข้าไปยังเมืองซึ่งชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง นางอธิบายว่าคนในหมู่บ้านล้วนมีศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ใครประพฤติผิดก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป ผู้ชายส่วนมากมักไม่รักษาวาจาสัตย์จึงต้องออกจากหมู่บ้านกันไปหมด แล้วนางก็พาชายหนุ่มไปพบมารดาของนาง ชายหนุ่มเกิดความรักใคร่ในตัวนางจึงขออาศัยอยู่ด้วย มารดาของหญิงสาวก็ยินยอม แต่ให้ชายหนุ่มสัญญาว่าจะต้องอยู่ในศีลธรรม ไม่พูดเท็จ ชายหนุ่มได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวลับแลจนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน


            วันหนึ่งขณะที่ภรรยาไม่อยู่บ้าน ชายหนุ่มผู้พ่อเลี้ยงบุตรอยู่ บุตรน้อยเกิดร้องไห้หาแม่ไม่ยอมหยุด ผู้เป็นพ่อจึงปลอบว่า "แม่มาแล้วๆ" มารดาของภรรยาได้ยินเข้าก็โกรธมากที่บุตรเขยพูดเท็จ เมื่อบุตรสาวกลับมาก็บอกให้รู้เรื่อง ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจมากที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์ นางบอกให้เขาออกจากหมู่บ้านไปเสีย แล้วนางก็...จัดหาย่ามใส่เสบียงอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้สามี พร้อมทั้งขุดหัวขมิ้นใส่ลงไปด้วยเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็พาสามีไปยังชายป่า ชี้ทางให้ แล้วนางก้กลับไปเมืองลับแล ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรก็จำต้องเดินทางกลับบ้านตามที่ภรรยาชี้ทางให้ ระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขามีความรู้สึกว่าถุงย่ามที่ถือมาหนักขึ้นเรื่อยๆ และหนทางก้ไกลมาก จึงหยิบเอาขมิ้นที่ภรรยาใส่มาให้ทิ้งเสียจนเกือบหมด ครั้นเดินทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิม บรรดาญาติมิตรต่างก็ซักถามว่าหายไปอยู่ที่ไหนมาเป็นเวลานาน ชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังโดยละเอียดรวมทั้งเรื่องขมิ้นที่ภรรยาใส่ย่ามมาให้แต่เขาทิ้งไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียงแง่งเดียว พร้อมทั้งหยิบขมิ้นที่เหลืออยู่ออกมา ปรากฏว่าขมิ้นนั้นกลับกลายเป็นทองคำทั้งแท่ง ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเสียดาย จึงพยายามย้อนไปเพื่อหาขมิ้นที่ทิ้งไว้ ปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้งอกเป็นต้นไปหมดแล้ว และเมื่อขุดดุก็พบแต่แง่งขมิ้นธรรมดาที่มีสีเหลืองทอง แต่ไม่ใช่ทองเหมือนแง่งที่เขาได้ไป เขาพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแล แต่ก้หลงทางวกวนไปไม่ถูก จนในที่สุดก็ต้องละความพยายามกลับไปอยู่หมู่บ้านของตนตามเดิม

ตำนาน ขุนโจร 7 จังหวัด เสือผาด ทับสายทอง


                                    เสือผาด ทับสายทอง


            เสือผาด ทับสายทอง หรือที่คนส่วนใหญ่ เรียกว่า คุณพระ เป็นคนหนองขาหยั่ง นครปฐม ถือเป็นเสือที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศไทย ระหว่าง ปี พ.ศ.2490- 2494 ชื่อเสียงของเสือผาด โด่งดังทั่วประเทศไทย จนถึงขนาดที่ นายตำรวจมือปราบ ประจันหน้ากับเสือผาด ยังไม่กล้าแสดงตัวจับเสือผาด
เสือ ผาด เป็นคนจริง เคยติดคุกเมื่อออกจากคุก ก็ได้วิชาหมอตำแยและวิชาสมุนไพรแผนโบราณเกี่ยวกับการรักษาโรคผู้หญิง ที่ผู้ชายซุกซนชอบเป็นกัน เสือผาดเมือออกจากคุกก็ได้ ใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คนแถวละแวกบ้านและใกล้เคียง จนชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่นับถือของชาวบ้านกันมาก จริงๆ แล้ว เสือผาดเป็นคนรูปร่างเล็ก หน้าตาไม่น่ากลัวเหมือนชื่อเสียง ถ้าบอกว่าเสือผาดเป็นครู โดยดูจากหน้าตา ก็ไม่เกินเลยจากความเป็นจริง แต่ชีวิตผกผัน ทำให้เสือผาดต้องมีชีวิตมาเป็นเสือร้ายที่ผู้คนเกรงกลัว แม้แต่ ชื่อของเสือผาดยังไม่กล้าเรียก หรือเพราะความเป็นคนจริง มีเมตตา ช่วยเหลือผู้คน ก็เหลือที่จะเดาได้ แต่ผู้คนในยุคนั้นเรียกกันว่า คุณพระ
           เสือ ผาด เกิดวันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2448 เวลา 22.30 น. ตรงกับวันแรม 5 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเส็ง ตามรูปดวงชะตาเกิดของเสือผาด ตกอยู่ใน เพชฌฆาตฤกษ์และราชาฤกษ์ ซึ่งมีอิทธิพลต่อดวงชะตาชีวิตของเสือผาด ทำให้มีชีวิตผกผันแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ถ้าไม่ดีก็จะกลายเป็นร้าย ชะตาตกอยู่ใน เพชฌฆาตฤกษ์ ทำให้เสือผาด เป็นคนเด็ดเดี่ยว ทำอะไรทำจริง ไม่เกรงกลัวใคร ชะตาตกอยู่ใน ราชาฤกษ์ ทำให้เสือผาด เป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่นับถือ รักใคร่ ต่อผู้คน
           ถึงแม้จะได้ชื่อว่า เป็นเสือร้าย แต่เสือผาดก็เป็นคนจริง ก่อนที่จะออกปล้นบ้านใดจะมี หมายไปติดที่หน้าบ้าน ที่จะทำการปล้น ถ้าเจ้าของบ้านยินยอม ก็จะนำข้าวของมาวางไว้ที่หน้าบ้าน เสือผาดก็จะไม่ทำอะไร แต่ถ้าเจ้าของบ้านไม่นำข้าวของมาวางไว้หน้าบ้าน เสือผาดก็จะเข้าทำการปล้น ถ้าเจ้าบ้านไม่สู้ก็จะไม่ทำอะไร แต่ถ้าสู้ ก็ต้องตาย เคยมีคนเก่าคนแก่ เล่าให้ฟังว่า เสือผาดได้ทำการปล้นคณะลิเกที่มาแสดง แถวดอนตูม จับลิเกทั้งคณะให้ไปเล่นที่ชุมโจร โดยลิเกทั้งคณะต้องแก้ผ้าเล่นหรืออีกครั้งหนึ่งเสือผาดได้ทำการปล้นบ้านหลังหนึ่ง กวาดทรัพย์สินไปหมดแต่เจ้าของบ้านอ้อนวอนขอเงินคืนส่วนหนึ่ง เพราะเจ้าของบ้านจะทำการบวชลูก เสือผาดก็ให้คืนมาพร้อมกับส่งคนมาดูว่ามีงานบวชจริงหรือเปล่า
           ในชีวิตจริง เสือผาดเป็นคนที่นับถือและศรัทธาในพุทธคุณของพระเครื่อง เล่ากันว่า ก่อนที่เสือผาดจะออกเดินทางออกจากบ้านหรือชุมโจร จะทำการสวดมนต์อยู่ในห้องคนเดียวเป็นเวลานาน นับชั่วโมง โดยสวดมนต์และทำการปลุกเสกพระเครื่องที่ใช้ประจำติดตัว จึงมีหลายครั้งที่ตำรวจล้อมจับเสือผาดจนมุม แต่ก็หาตัวเสือผาดไม่เจอ ในชีวิตของเสือผาด เกจิที่เสือผาดนับถือมากที่สุด และไม่เคยขาดพระเครื่องของเกจิองค์นั้นไปจากตัวของเสือผาดเลย ก็คือ หลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอม
พระเครื่องของ หลวงพ่อรุ่ง พิมพ์นาคปรก เป็นพระเครื่องที่เสือผาด ไม่เคยขาดไปจากคอ จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต ไม่เพียงแต่เสือผาดเท่านั้น พระพิมพ์นาคปรกนี้ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เองก็นำติดตัวตลอดเวลา ในระหว่างออกเดินธุดงค์ ในสมัยที่ยังเป็นพระหนุ่ม
           ในสมัยที่มีการตกลงที่จะมอบตัวครั้งแรก ต่อหน้าหลวงพ่อเงิน เสือผาดได้นำพระนาคปรกหลวงพ่อรุ่ง ออกมาอวดต่อหน้านายตำรวจใหญ่เมืองนครปฐมและผู้ติดตามหลายคน แล้วเล่าว่า ชีวิตของตนรอดตาย หลายต่อหลายครั้ง ก็จากพุทธคุณของพระพิมพ์นาคปรก หลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอม ถึงขนาดที่เคยถูกล้อมจับ ไม่มีน้ำกิน เคยอาราธนาพระพิมพ์นาคปรก หลวงพ่อรุ่ง ทิ้งลงไปในน้ำที่จะตักมาดื่ม ผลปรากฏว่า บริเวณที่พระตกลงไป น้ำจะใสสะอาดทันที ปัจจุบันนี้ พระนาคปรก หลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอม ก็ไม่เคยขาดจากคอของผม วัดดอนยายหอม ในอดีตชื่อว่า วัดโคกยายหอม ตั้งอยู่ในที่ลุ่ม ทำให้เวลาในหน้าฝน น้ำจะท่วมวัด พระสงฆ์ได้รับความลำบากมากในการดำรงค์ชีวิต จวบจนกระทั่ง หลวงพ่อทรัพย์ วัดงิ้วราย ได้ชักชวนให้ชาวบ้านมาช่วยกันย้ายวัดมาตั้งใหม่ในที่ดอน และช่วยกันสร้างจนสำเร็จและเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า วัดดอนยายหอม แต่หลวงพ่อทรัพย์ ท่านไม่รับเป็นสมภารเจ้าอาวาส และท่านพร้อมกับชาวบ้าน ได้เดินทางไปยังวัดทอง (สุวรรณาราม ) บางกอกน้อย นิมนต์ พระวินัยธร ( ฮวบ พรหมศร ) ให้มาเป็นสมภารเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดดอนยายหอม ใน ปีพ.ศ.2400 ในขณะนั้นหลวงพ่อฮวบ มีอายุได้เพียง 25 ปี และท่านยังเป็นญาติกับหลวงพ่อเงิน โดยมีศักดิ์เป็นลุง
            หลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอม เดิมชื่อ รุ่ง วัดแก้ว เกิดในระหว่าง ปี พ.ศ. 2496 หลังจากที่หลวงพ่อฮวบ ได้มรณภาพใน ปีพ.ศ.2465 หลวงพ่อรุ่ง ได้อยู่ในตำแหน่ง รักษาการเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม ได้ เพียง 1 ปี หลวงพ่อรุ่งได้ลาสิกขาบท ในปี พ.ศ. 2466 ขณะที่ท่านมีอายุได้ 70 ปี และหลวงพ่อเงิน ได้ดำรงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อจากหลวงพ่อรุ่ง โดยที่หลังจากลาสิกขาบท หลวงพ่อรุ่งได้ใช้ชีวิตฆราวาสอยู่หลายปี และได้มี ภรรยาหนึ่งคน และมี บุตรชาย 3 คน หญิง 1 คน
หลวงพ่อรุ่ง เป็นศิษย์ก้นกุฎิของหลวงพ่อฮวบ ท่านมีความเจนจัดในด้านวิปัสสนากรรมฐาน และพุทธาคมมาก เรียกได้ว่า ท่านเป็นพระที่ร้อนวิชาองค์หนึ่งทีเดียว เฉกเช่นกับหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ท่านได้สร้างพระเครื่องไว้หลายรูปแบบด้วยดินขุยปู แต่ที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดได้แก่ พระพิมพ์นาคปรก นอกจากนั้นท่านก็ได้สร้างตะกรุดไม้รวก ไว้แจกแก่ศิษย์เช่นเดียวกัน
หลวงพ่อรุ่ง ถือได้ว่าเป็น อาจารย์ใหญ่ของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ที่มีความใกล้ชิดกันมาก พุทธาคมที่หลวงพ่อเงิน เรียนรู้ส่วนใหญ่จะได้มาจากหลวงพ่อรุ่ง ในช่วงที่หลวงพ่อรุ่งยังมีชีวิตอยู่ในเพศฆราวาส ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมาก ไม่แพ้หลวงพ่อฮวบ อาจารย์ของท่าน
สาเหตุหนึ่งที่คาดกันว่าหลวงพ่อรุ่งต้องลาสิกขาบท อาจเป็นเพราะว่า ถ้าท่านยังอยู่ในเพศฆราวาส คนแถววัดดอนยายหอม จะไม่เชื่อถือหลวงพ่อเงิน ที่เป็นเจ้าอาวาสในขณะที่มีวัยเพียง 33 ปี เท่านั้น
          เสือผาดทับสายทอง ให้ความเคารพและนับถือหลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอมมาก นอกจากได้พระนาคปรกจากหลวงพ่อรุ่งไว้คุ้มครองแล้วยัง ได้วิชาจากหลวงพ่อรุ่ง ไว้ป้องกันตัวโดยเฉพาะวิชากำบังกาย ถึงขนาดที่ว่า เสือผาดเดินผ่านตำรวจมือปราบได้ โดยที่นายตำรวจผู้นั้นไม่เห็น และก็เป็นที่ยอมรับของตำรวจว่าหลายครั้งที่ล้อมจับเสือผาดแล้วหาตัวไม่พบ ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2494 เสือผาดได้ถูกตำรวจล้อมจับบริเวณ สถานีรถไฟหนองปลาดุก ต.ปากแรต อ.บ้านโป่ง นายตำรวจและผู้ติดตามนับสิบคน ได้เข้าล้อมจับเสือผาดที่จนมุมอยู่กลางทุ่งนา พร้อมกับเสือสังวาลย์ สมุนคู่ใจ แต่ทั้งคู่ไม่ยอมแพ้ ได้เกิดการต่อสู้กับตำรวจ จนกระทั่งเสือสังวาลย์ถูกยิงตาย ยังคงเหลือแต่เสือผาด แต่ตำรวจก็ไม่กล้าเข้าล้อมจับ จนกระทั่งมีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด หลังจากนั้นตำรวจได้เข้าไปตรวจสอบ พบว่า เสือผาดได้ใช้ปืนยาว พระรามหก ยิงกรอกปากตัวเองด้วยกระสุนนัดสุดท้ายที่เหลืออยู่ เพราะไม่ยอมจนมุมและไม่ยอมตายด้วยเงื้อมมือตำรวจ แต่ขอปลิดชีพตัวเองก่อนที่เสือผาด จะยิงตัวตาย ได้ถอดพระเครื่องที่แขวนติดตัวทั้งหมด ฝังเอาไว้ในรูปู โดยหลังจากที่ตำรวจเข้าชันสูตรศพเสือผาด ได้นำพระของเสือผาดมาไว้ที่หน้าอกและถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานแต่ผลจากการชันสูตรศพ พบว่า เสือสังวาลย์โดนปืนร่างรุึน แต่เสือผาด มีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ ทั่วทั้งตัว จากการที่โดนกระสุนปืนจากตำรวจและคณะ แต่ไม่เข้าเลยแม้แต่นัดเดียว
ผลจากการที่เสือผาดถูกยิงทั่วร่าง ถึงแม้จะไม่มีนัดใดเข้าเลย แต่ฤทธิ์จากความแรงของกระสุนปืน ก็ทำให้เสือผาดเกิดอาการเจ็บช้ำไปทั่วทั้งตัว ไม่สามารถหนีการจับกุมได้เฉกเช่นเคย ทำให้ต้องตัดสินใจปลิดชีพตัวเอง สมศักดิ์ศรีเสือไม่ทิ้งลาย หลังจากเสือผาดเสียชีวิต ได้มีการพยายามตัดคอเสือผาดเพื่อนำมาประจาน โดยตำรวจนายหนึ่งที่ถูกส่งไป เป็นสายในชุมโจรเสือผาด จนเสือผาดไว้ใจ อันเป็นผลให้เสือผาดต้องจบชีวิตในที่สุด แต่ไม่สามารถตัดคอของเสือผาดได้สำเร็จ จนถึงขนาดที่ต้องไปขอให้หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ถอนอาคมที่อยู่ในตัวเสือผาด หลวงพ่อเงิน ท่านบอกว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่ก็ไม่ละความพยายาม นายตำรวจผู้นั้น ได้ไปหลอก หลวงพ่อบุญธรรม เพื่อขอยืมมีดหมอประจำตัวของท่านมา และนำมีดหมอของท่านมาตัดคอเสือผาดได้เป็นผลสำเร็จ โดยที่หลวงพ่อบุญธรรมไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แท้จริง แต่หลังจากนั้นเพียงอาทิตย์เดียว นายตำรวจผู้นั้นก็มีอันเป็นไปและเสียชีวิตในที่สุด หลวงพ่อบุญธรรม ท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น แต่คนนอกพื้นที่ไม่ค่อยรู้จักท่าน ท่านเป็นหลานของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค พระเครื่องที่ท่านสร้าง จะต้องมีการปั๊ม ตัว ธ. ไว้ที่ด้านหลังทุกพิมพ์หลังจากที่ตัดคอเสือผาดได้แล้ว ทางตำรวจได้นำหัวของเสือผาดมาแขวนประจานที่บริเวณ ด้านข้างกองบังคับการตำรวจภูธรภาค 7 แต่แขวนประจานได้เพียง 3 วัน ได้ถูกทุกด้าน โจมตีถึงความป่าเถื่อน จนพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ต้องสั่งให้นำลง และให้ลูกของเสือผาดนำส่วนหัวของเสือผาดไปบำเพ็ญกุศลในที่สุด
         ในชีวิตของเสือผาด แม้จะเป็นที่กล่าวขวัญและยำเกรงของผู้คน รวมไปถึงตำรวจ แต่เสือผาดก็นับถือศาสนาพุทธ หลังจากสิ้นหลวงพ่อรุ่ง เสือผาดถูกตามล่าตัว จนอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง แต่เสือผาดเองก็ยังแอบ ไปหาเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของเมืองนครปฐม หลายต่อหลายองค์ ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม และหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม
         ในปี พ.ศ. 2493 เสือผาดได้มากบดานแถววัดสามง่าม และได้แอบมาหาหลวงพ่อเต๋ เพื่อให้หลวงพ่อเต๋สักให้ แต่เป็นยามพลบค่ำ หลวงพ่อเต๋ไม่สะดวก จึงให้ลูกศิษย์ของท่านองค์นึงมาสักให้เสือผาด โดยที่หลวงพ่อเต๋ จะทำการประสิทธิเมให้หลังจากที่ทำการสักยันต์เสร็จแล้ว และในปัจจุบันนี้ ลูกศิษย์หลวงพ่อเต๋องค์นั้นได้กลับมาจำพรรษาที่วัดสามง่าม พระองค์นั้นคือ หลวงตาขวัญ ในปัจจุบัน
ศิษย์นอกครู ลูกนอกคอก ออกชื่อว่า เสือผาด ทับสายทอง แล้ว คนในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่าง พ.ศ.2484 ถึง พ.ศ.2490 ย่อมจะรู้จักกันดี บางคนเรียกชื่อเขาว่า "ขุนโจร 7 จังหวัด" เพราะเขามีชื่ออยู่แถวจังหวัด นครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และจังหวัดธนบุรี ทั้ง 7 จังหวัดนี้ เป็นแดนปล้น เป็นแดนอิทธิพลของเขาโดยตลอด อย่างน้อยเสือเล็ก เสือน้อย ที่เรียกว่าเสือปลา ไม่ใช่เสือโคร่งลายพาดกลอน ก็อ้างชื่อเสียงของเขาออกหากินด้วย
ส่วนใหญ่ จะไม่กล้าออกชื่อเขา มักจะออกชื่อกันว่า "คุณพระ" คำว่า "คุณพระ" เป็นชื่อที่ชาวนครปฐมทั่วไปเรียกชื่อเขาลับหลัง เป็นที่รู้กันว่า หมายถึง เสือผาด ทับสายทอง คนกลัวเขาขนาดไม่เรียกออกชื่อเขาทีเดียว เพราะไม่รู้ว่าจะถึงหูเสือผาดเข้าเมื่อไร และจะถูกฆ่าตายเมื่อไรก็ไม่รู้ตัว พูดกันถึงขนาดที่ว่า ข้าราชการ ตำรวจ ก็กลัวเสือผาด เป็นลูกน้องหรือเป็นสายเสือผาดเกือบทุกคน
ข้าพเจ้ามีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อประชาไม่อยากใช้นามสกุล ทับสายทอง ขอให้เปลี่ยนนามสกุลให้ ข้าพเจ้าถามว่า พ่อคุณชื่อไร เขาบอกว่าชื่อมิ่ง ข้าพเจ้าก็เลยตั้งนามสกุลให้ว่า "ครูประชา มิ่งมนตรี" เขาเป็นครูอยู่อำเภอกำแพงแสนสมัยนั้น
นายผาด ทับสายทอง มีน้องชายคนหนึ่ง ชื่อ พุ่ม ทับสายทอง เป็นนักเลง ชอบดื่มเหล้า ใครอยากจะให้ตีหัวใครก็ขอเหล้าขวดเดียว แล้วเขาก็จะตีหัวให้ หรือชกหน้าให้ตามต้องการ คราวหนึ่ง เขาฝากชื่อไว้ในแผ่นดินสยาม โดยเขาถือปืนเข้าไปดักยิงจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่สนามหลวงแต่ยิงพลาด ไม่ถูกที่สำคัญแต่ก็ยิงถูก และถูกตัดสินจำคุก เล่าเรื่องเสือผาดประกอบก็เพื่อจะบอกว่า เสือผาด ทับสายทอง ก็เป็นศิษย์นอกครู ลูกนอกคอก ของหลวงพ่อเงิน
เสือผาด เริ่มมีชื่อมาตั้งแต่ปล้นฆ่า ร.ต.ต.เจี่ย แสงโชติ บิดาของ พล.ต.ต.จุมพล แสงโชติ (นายพลตำรวจตรีคนนี้ เป็นเพื่อนนักเรียนชั้นเดียวกับผู้เขียน และนายชื่น ทักษิณานุกูล เมื่อเรียนอยู่ที่โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย)
เสือผาด ถูกจับได้ ติดคุกอยู่หลายปี พอออกจากคุกก็ปล้นอีก เสือฮุย เสือเภา เพื่อนเสือด้วยกัน ถูกตำรวจยิงตาย เสือผาดหลบหนีรอดไปได้ คราวหนึ่ง นายจรูญ ผาสุกวณิชย์ นายอำเภอเมืองนครปฐมพร้อมด้วยนายศักดิ์ เศรษฐบุตร ปลัดอำเภอ และตำรวจ เข้าล้อมจับที่ตำบลหนองขาหยั่ง เสือผาดแอบอยู่ในห้องเจ้าหน้าที่ค้นจนทั่วไม่เห็นเขา อีกครั้งหนึ่งเสือผาด กำลังอยู่ในวงการพนัน เล่นโปกัน ที่บ้านวังน้ำขาว ส.ต.ท.ทัพ เนาวรัตน์ นำตำรวจ 20 คน เข้าล้อมจับเสือผาดนั่งอยู่ ตำรวจหลายคนไม่เห็นเขา
อีกครั้งหนึ่ง เดินสวนกับ ร.ต.ต.ประสิทธิ์ วทานนท์ และพลตำรวจไสวที่สนามบินต้นสำโรง ตำรวจยิงด้วยปืนยิงเร็วในระยะเผาขน จนฝุ่นกลบตัวแต่ไม่ถูกเสือผาด เสือผาดหายตัวไปข้าง ๆ เนินดินในเวลากลางวันแสก ๆ ครั้งสุดท้ายที่เขาปล้นที่ตำบลคุ้งพยอม อำเภอบ้านโป่ง พ.ต.ท.ประชา บูรณะธนิต ได้อำนวยการสืบสวนและวางแผนซ้อนกลส่งคนเข้าเป็นพวกปล้นด้วย ได้เกิดยิงต่อสู้กันกับตำรวจที่ส่งกำลังไปล้อม จนนายตำรวจชั้นร้อยตำรวจโท ตายไปคนหนึ่ง แต่เสือผาดหนีไปได้ไม่บาดเจ็บ เมื่อถูกล้อมจับจนมุมในทุ่งนา เสือผาดก็ถอดเอาพระเครื่องออกโยนทิ้ง แล้วระเบิดสมองตัวเองตายไป ไม่ใช่ตำรวจยิงตายแต่อย่างใด เสือผาดได้ออกปล้นมานับสิบ ๆ ครั้ง ถูกตำรวจยิงหลายครั้ง แต่หนีรอดไปได้ทุกครั้ง จนเป็นที่เลื่องลือกันแม้ในหมู่ตำรวจว่า เสือผาดมีของดี
ครั้งหนึ่ง พล.ต.ต.เนื่อง อาขุบุตร และ พ.ต.อ.สะอาด รัชตะประกร ได้ติดต่อขอให้เสือผาดเข้ามอบตัว เสือผาดก็เข้าพบสนทนาด้วย
ครั้งหนึ่ง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจติดต่อขอพบ เขาก็เข้าพบที่พระแม่ธรณีบีบมวยผม ที่ข้างสนามหลวง ได้พบและสนทนากันแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็รักษาวาจาสัตย์ ไม่ทำร้ายกัน แล้วต่างคนก็ต่างแยกกันกลับไป คราวที่นัดพบกับนายตำรวจใหญ่นั้น ตำรวจใช้หลวงพ่อเงินเป็นสื่อนัดพบ คณะที่ไปพบเสือผาดมี พล.ต.ต.เนื่อง อาขุบุตร ผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 7 นครปฐม พ.ต.อ.สะอาด รัชตะประกร ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม นายทองสุก สุวัตถี นายอำเภอเมืองนครปฐม นายหล่อ สีละชาติ ศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม และ นายชื่น ทักษิณานุกูล ลูกศิษย์และลูกบุญธรรมของหลวงพ่อเงิน โดยนายชื่น ทักษิณานุกูล ได้ล่วงหน้าไปก่อน ได้ไปพบกับนายจันทร์ ชาวบ้านตำบลดอนยายหอม และได้พบกับเสือผาดที่นั่น แล้วจึงพาเสือผาดมาพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่หน้าโบสถ์วัดดอนยายหอม โดยมีหลวงพ่อเงิน เป็นประธานอยู่ด้วย
ก่อนที่จะนำท่านเข้าสู่เรื่องราวตอนอวสานของเสือผาด ทับสายทอง ขอแทรกเหตุการณ์การนัดพบระหว่างเสือร้าย กับนายตำรวจใหญ่ ผู้บังคับการตำรวจภูธร เขต ๗ นครปฐม ซึ่งมีหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เป็นสื่อกลาง และนั่งเป็นประธานในการสนทนา ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้น หลวงพ่อเงิน ท่านได้กล่าวตักเตือน ขอร้องให้เสือผาด เข้ามอบตัว ซึ่งเสือผาด คงจะขัดหลวงพ่อไม่ได้ ก็เลยรับปาก แต่ต่อมาไม่ได้ทำตาม จึงเข้าข่าย “เสียสัตย์ต่อครูอาจารย์” อันเป็นเหตุทำให้เสือผาด ต้องพบจุดจบในที่สุด
เมื่อเสือผาดได้พบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ระดับผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัด เขาก็ยิ้มอย่างใจเย็น แล้วสารภาพว่า เขาได้ปล้นฆ่าที่ไหนมาบ้าง แล้วเสือผาดก็คุยกับหลวงพ่อเงิน หลวงพ่อเงินจึงถือโอกาส พูดเทศนาสั่งสอน โดยไม่ต้องติดกัณฑ์เทศน์ว่า
"เสือผาดนี้ก็เหมือน คนที่ขุดบ่อ ยิ่งขุดก็ยิ่งลงลึกลงไปทุกที ตัวก็จมลงไปทุกที หนักเข้าก็ลึกจนขึ้นไม่ได้ ได้แก่ คนที่ทำบาปกรรมไว้ เป็นที่เกลียดกลัวของมหาชน และเป็นที่ต้องการของเจ้าหน้าที่ ทางที่ดีควรจะหยุดขุดบ่อฝังตัวเอง นานเข้าความชั่วที่ทำไว้ก็จะลืมเลือนไป จากความเกลียดกลัวของประชาชน ก็จะกลายเป็นคนดีได้อย่างสนิท เหมือนบ่อที่ขุดไว้ นานปี ธรรมชาติก็ช่วยกลบเกลื่อนให้หลุมตื้นขึ้นเป็นชั้นเสมอกับพื้นดินเดิม เสือผาดก็เป็นคนไทย นับถือพระพุทธศาสนา ตัวเสือผาดเองก็มีคุณพระแขวนคอ คุ้มตัว จนคนทั่วไปเรียกชื่อว่า "คุณพระ" ขึ้นชื่อว่าเบียดเบียนชีวิต และทรัพย์สินของคนอื่นเป็นบาป จงสลัดบาปออกเสีย หันมาทำดี ก็จะเป็นโอกาสอันดี เจ้าหน้าที่เขาก็จะผ่อนผันโทษหนักให้เป็นเบาได้”
เสือผาดก็รับคำว่า จะขอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ แต่เขายังมีภาระรุงรังอยู่ ขอไปจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน เมื่อคุยกันถึงเรื่องธุระเสร็จแล้ว พล.ต.ต.เนื่อง อาขุบุตร ซึ่งเป็นผู้สนใจทางพระเครื่องอยู่ ก็คุยถึงเรื่องพระเครื่อง ต่างคนต่างนำออกอวดกัน เสือผาดก็ควักออกมาอวดบ้าง "พระเครื่องของผมก็ศักดิ์สิทธิ์นัก เคยเข้าตาจนมาแล้วหลายครั้ง อาราธนาพระองค์นี้ช่วยคุ้มครองให้ปลอดภัยมาทุกครั้ง พระองค์นี้ไม่ใช่อยู่ยงคงกะพันอย่างเดียว ยังใช้ในทางแคล้วคลาด และกำบังตัวได้ด้วย เวลาทิ้งพระองค์นี้ลงไปในน้ำที่ขุ่น น้ำตรงนั้นจะเกิดช่องว่างใสเป็นทางลงไป จนถึงดินที่พระองค์นั้นนอนอยู่ทีเดียว" เสือผาดย้ำว่า "จะทดลองเดี๋ยวนี้ก็ได้"
         พระเครื่องดินเผาองค์นั้น เป็นพระเครื่องของ หลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอม อาจารย์ของหลวงพ่อเงิน ซึ่งหลวงพ่อเงินก็มีติดตัวอยู่องค์หนึ่ง คราวเดินธุดงค์ก็นำติดตัวไป หลวงพ่อรุ่งองค์นี้ บวชอยู่วัดดอนยายหอม มีชื่อว่าเป็นพระอาจารย์ขลัง ไม่ได้เป็นสมภารเจ้าวัดอะไร ชอบทางวิทยาคม มีคนยกย่องว่าเก่งทางคาถาอาคม ชอบไปทางเวทย์มนต์คาถา มีเครื่องมือในการทำเครื่องรางของขลังพร้อม เหล็กสัก เหล็กจาร หลอดไม้รวก สำหรับลงตะกรุด ลูกอม สักให้แล้วก็ทดลองใช้มีดดาบฟันทันที หลวงพ่อรุ่งเก่งอีกทางหนึ่งคือ ให้หวย เมื่อหลวงพ่อเงินบวชใหม่ ๆ เคยให้หลวงพ่อเงินไปช่วยนั่งบริกรรมปลุกเสกพระ และเครื่องรางในโบสถ์
ในชีวิตของหลวงพ่อรุ่ง ได้ทำพระดินเผาไว้ประมาณ ๑๐ องค์ เป็นดินเผาสีแดง ที่เสือผาดใช้เป็นพระเครื่องรางคุ้มตัวอยู่นั้นองค์หนึ่ง และมีที่หลวงพ่อเงินอีกองค์หนึ่ง เสือผาดมีอาจารย์เดียวกับหลวงพ่อเงิน จึงมาเคารพนับถือหลวงพ่อเงินเป็นครูอาจารย์อีกองค์หนึ่ง
สำหรับครูอาจารย์ของเสือผาด ทับสายทอง นอกจากหลวงพ่อรุ่ง และ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมแล้ว ยังมี หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม อ.ตอนตูม จ.นครปฐม ซึ่งเสือผาดเคยเป็นศิษย์วัดที่นี่ เคยได้รับการสักยันต์จาก หลวงตาขวัญ ผู้ช่วยคนสำคัญของหลวงพ่อเต๋ โดยมีหลวงพ่อเต๋ เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทพระเวทย์วิทยาคม ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ถึง ๒๔๙๕
ในส่วนของพระเครื่องรางของขลัง นอกจากเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ที่สร้างในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ และ พระเนื้อดินเผาของหลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอมแล้ว เท่าที่ผมทราบอย่างแน่ชัดก็คือ เสือผาดพกพา “เบี้ยแก้ หลวงปู่คำ วัดโพธิ์ปล้ำ จ.อ่างทอง” ติดตัวอยู่ตลอดเวลา และเชื่อว่า เสือผาดยังมีพระเครื่องรางของขลังอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนมากจะเป็นประเภทคล้องคอ ไม่ได้คาดเอว ทั้งนี้ มาจากคำบอกเล่าของน้องสาวของเขานั่นเอง
ด้วยเหตุที่เสือผาด มีของดี จากพระอาจารย์ดี และเป็นคนที่มุ่งมั่น เชื่อถือในอำนาจคุณพระ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เวลาก่อนจะออกจากบ้าน ได้ประกอบพิธีกรรม สวดคาถากำกับเป็นเวลานานร่วมชั่วโมง จึงได้รับการคุ้มครองจากคุณพระ ปกป้องภยันตรายต่าง ๆ แคล้วคลาดจากคมหอก คมดาบ คมอาวุธทุกชนิด ร่างกายอยู่ยงคงกระพัน ฟันแทง ยิงไม่เข้า และสามารถกำบังตนล่องหนหายตัวได้หลายครั้งหลายครา รอดพ้นจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตราบจนวาระสุดท้าย ที่ “กรรม” ตามมาถึง และเสือผาดก็ต้องชดใช้กรรมนั้น
          ปฐมเหตุของเรื่องการจบชีวิตของเสือผาด ได้กล่าวไว้แต่ต้นแล้วว่า ภายหลังเขาได้ยิง พ.ต.อ. หลวงพรหมโมปกรณ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธร เขต ๗ จ.นครปฐม ที่เข้ามารับตำแหน่งคนล่าสุด ตกจากหลังม้า ได้รับบาดเจ็บสาหัส และถึงแก่ความตายในที่สุด ทำให้ พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจผู้เรืองอำนาจในยุคนั้น ระดมตำรวจฝีมือดีอย่างมากมาย มาทำการปราบปรามเสือผาดในขั้นเด็ดขาด โดยมีคำสั่งให้ “จับตาย” สถานเดียว โดยมี พ.ต.อ.ประชา บูรณธนิต (ยศในขณะนั้น) มารักษาการในตำแหน่งผู้บังคับการเขต ๗ แทน พ.ต.อ.หลวงพรหมมโนปกรณ์ เป็นผู้วางแผน
แผนพิชิตเสือร้าย ผาด ทับสายทอง โดยการวางแผนของ พ.ต.อ.ประชา บูรณธนิต ได้กระทำกันอย่างแยบยล และรัดกุมที่สุด จนกระทั่งสืบทราบมาอย่างแน่ชัดแล้วว่า เสือผาด ทับสายทอง จะเข้าทำการปล้นหมู่บ้านคุ้งพยอม จ.ราชบุรีพ.ต.อ.ประชา บูรณธนิต จึงได้ส่งกำลังตำรวจเข้าทำการรายล้อม เพื่อพิชิตเสือในชั้นเด็ดขาดทันที นายตำรวจผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการปราบปรามเสือผาด ทับสายทอง ครั้งนี้ ได้แก่ ร.ต.ต.ณรงค์ วิเศษศักดิ์ ซึ่งเป็นนายตำรวจมือดี ที่ทางการได้คัดเลือกส่งมา
ร.ต.ต.ณรงค์ ผู้นี้ เป็นตำรวจที่เลื่อนยศขึ้นมาจาก จ.ส.ต. เป็นตำรวจที่เคยประจำอยู่ จ.นครปฐมมาก่อน และมีวัยไล่เลี่ยกับเสือผาด (ขณะนั้นอายุประมาณ ๔๐ เศษ) เป็นคู่ปรับเก่าของเสือผาด ซึ่งเคยปะทะกันมาแล้ว และเสือผาดก็ออกจะคร้ามเกรงอยู่ไม่น้อย เพราะเป็นตำรวจที่ “หนังเหนียว” เคยถูกเสือผาดยิงในระยะเผาขนแล้ว แต่ “ไม่เข้า” ดังนั้น เมื่อเสือและสิงห์ ได้มาเผชิญหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง ผลก็คือ ใครดีใครอยู่ ใครไม่ดีไป การปะทะกันระหว่างเสือผาด ทับสายทอง และ ร.ต.ต.ณรงค์ วิเศษศักดิ์ ที่บ้านคุ้งพยอมในครั้งนั้น นับเป็นประวัติศาสตร์ที่ควรจารึกไว้ในวงการตำรวจทีเดียว เพราะเมื่อ “เสือ” และ “ตำรวจ” ได้เผชิญหน้ากันในระยะกระชั้นชิด ต่างซัลโวลูกกระสุนเข้าใส่กันอย่างดุเดือดทันที ต่างฝ่ายต่างก็ “หนังเหนียว” ด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้น กระสุนเหล็ก จึงไม่ระคายผิวด้วยกันทั้งสองคน
ร.ต.ต.ณรงค์ รู้ดีว่า การแก้อาถรรพณ์ สำหรับผู้ที่มีเครื่องรางของขลังคุ้มครองตน ควรทำอย่างไร จึงเล็งปืนของตนไปที่เท้าทั้งสองข้างของเสือผาด แล้วระดมยิงกระสุนใส่ถี่ยิบ เพราะเชื่อว่า เท้าอันเป็นอวัยวะต่ำสุดของร่างกายนั้น เครื่องรางของขลังไม่อาจคุ้มครองได้ และก็ได้ผลสมความตั้งใจ กระสุนปืนเจาะเข้าที่เท้าทั้งสองข้างของเสือผาด ทับสายทอง อย่างแม่นยำ ร่างของเสือร้ายเซผงะออกไป เหมือนจะล้มลง เพราะเท้าทั้งสองข้างถูกยิง กระสุนทะลุฝ่าเท้า เลือดทะลักออกมาแดงฉาน
แต่กระนั้น ก็ไม่ทำให้ยอดขุนโจรสิ้นฤทธิ์ไม่ ตรงข้าม กลับเป็นการเพิ่มความเคียดแค้น เดือดดาลใจ และเพิ่มความดุร้าย ใช้ความรุนแรงมากขึ้น จึงได้ทำการโต้ตอบกลับไปอย่างดุเดือด และเหี้ยมโหดที่สุด นั่นคือ ใช้ระเบิดมือ ขว้างไปที่ร่างของ ร.ต.ต. ณรงค์ วิเศษศักดิ์ นายตำรวจมือดีของทางราชการ อย่างรวดเร็วทัน ๆ กันเสียงระเบิดกัมปนาทขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว แน่ละ แม้ ร.ต.ต.ณรงค์ จะเป็นนายตำรวจ “หนังเหนียว” แต่ก็หาสามารถทนทานอำนาจร้ายแรงของระเบิดได้ ร่างกายของนายตำรวจที่สร้างวีรกรรมไว้ ณ หมู่บ้านคุ้งพยอม จ.ราชบุรี แหลกเหลวไม่มีชิ้นดี และ ขาดใจตายคาที่
สิ้นเสียงระเบิดแค่ชั่ววินาทีเดียว เสือผาด คงรู้ชะตากรรมของตนว่า หนีอย่างไรก็คงหนีไปไม่รอด และคงไม่พ้นตายแน่แล้ว ด้วยวิสัยของเสือร้าย ที่ใจเด็ด เขาจึงตัดสินใจถอดพระเครื่องรางของขลังที่คล้องคออยู่กว้างทิ้งไป แล้วใช้ปืนระเบิดสมองตนเองตาย ก่อนที่ตำรวจหลายสิบนาย ที่รุมล้อมอยู่ จะพากันระดมกระสุนปืนหลายสิบนัด ราวห่าฝน เข้าสู่ร่างเสือผาด แต่ไม่มีกระสุนนัดใด ปลิดชีวิตเสือผาด เพราะเสือผาด ได้ล้มลง และขาดใจตายด้วยปืนของตนก่อนหน้านั้นเพียงเสี้ยววินาทีเดียว ปิดตำนานเสือผาด ขุนโจร 7 จังหวัด


   

นิทานพื้นบ้านแพร่ พระลอ


                                                 พระลอ



                                                                          พระธาตุพระลอ
     



                 พระลอ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดแพร่ เป็นจังหวัดในภาคเหนือของประเทศไทย ท้าวแมนสรวงเป็นกษัตริย์ของเมืองแมนสรวง พระองค์มีพระมเหสีทรง พระนามว่า “ นาฏบุญเหลือ ” ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสมีพระนามว่า “ พระลอดิลกราช ” หรือเรียกกันสั้นๆว่า “ พระลอ ” มีกิตติศัพท์เป็นที่ร่ำลือกันว่าพระองค์นั้นทรงเป็นชายหนุ่มรูปงามไปทั่วสารทิศจนไปถึงเมืองสรอง ( อ่านว่า เมืองสอง ) ซึ่งเป็นเมืองที่ถูกปกครองโดยท้าวพิชัยวิษณุกร พระองค์มีพระนามว่า “ พรดาราวดี ” และพระองค์ทรงมีพระธิดาผู้เลอโฉมถึงสองพระองค์พระนามว่า “ พระเพื่อน ” และ “ พระแพง ”

                 พระเพื่อนและพระแพงได้ยินมาว่า พระลอเป็นชายหนุ่มรูปงาม ก็ให้ความสนใจยากจะได้ยล พี่เลี้ยงของพระเพื่อนและพระแพงคือนางรื่น และนางโรยสังเกตเห็นความปราถนาของนายหญิงของตนก็เข้าใจในพระประสงค์ สองพี่เลี้ยงจึงอาสาจะจัดการให้นายของตนนั้นได้พบกับพระลอ โดยการส่งคนไปขับซอในนครแมนสรวง และในขณะที่ขับซอนั้นจะไห้นักดนตรีพร่ำพรรณนาถึงความงามของเจ้าหญิงทั้งสอง ในขณะเดียวกันนั้นพี่เลี้ยงทั้งสองก็ได้ไปหาปู่เจ้าสมิงพราย เพื่อที่จะให้ช่วยทำเสน่ห์ให้พระลอหลงใหลในเจ้าหญิงทั้งสอง

                 เมื่อพระลอต้องมนต์ก็ทำใคร่อยากที่จะได้ยลพระเพื่อนและพระแพงเป็นยิ่งนัก พระองค์เกิดความคลั่งไคล้ไหลหลงจนไม่เป็นอันทำอะไรแม้แต่กระทั่งเสวยพระกระยาหาร พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของพระองค์ ได้ทำให้พระราชชนนีสงสัยว่าจะมีผีมาเข้ามาสิงสู่อยู่แต่ถึงแม้ว่าจะหาหมอผีคนไหนมาทำพิธีขับไล่ก็ไม่มีผลอันใด พระลอก็ยังคงมีพฤติการณ์อย่างเดิมอยู่

เพื่อที่จะได้ยลเจ้าหญิงทั้งสอง พระลอจึงทูลลาพระราชชนนีออกประพาสป่า แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือ เพื่อที่จะได้ไปยลเจ้าหญิงแห่งเมืองสรองนั่นเอง จากนั้นพระลอก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองสรองพร้อมคนสนิทอีก 2 คน คือ นายแก้ว กับนายขวัญ พร้อมกับไพร่พลอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดต้องเดินผ่านป่าผ่าดงจนกระทั่งมาพบแม่น้ำสายหนึ่งมีชื่อว่า “ แม่น้ำกาหลง ”

                และที่แม่น้ำกาหลงนี้เอง ที่พระลอได้ตั้งอธิฐานเสี่ยงน้ำเพื่อตรวจดูดวงชะตาของพระองค์เอง ทันทีที่ได้สิ้นคำอธิษฐานนั้น แม่น้ำก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดในทันทีและไหลเวียนวนผิดปกติ เมื่อพระลอเห็นดังนั้นก็รู้ได้ว่าจะมีเรื่องร้ายรออยู่เบื้องหน้าของพระองค์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พระองค์เกิดความย่อท้อที่จะได้พบกับเจ้าหญิงที่พระทัยของพระองค์เรียกร้องแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าพระองค์นั้นจะไม่เคยพบนางเลย แต่พระองค์คลั่งไคล้ไหลหลงในตัวนางทั้งสองเป็นยิ่งนัก

                ส่วนเจ้าหญิงทั้งสองรอการเดินทางมาของเจ้าชายรูปงามไม่ได้ และเกรงว่ามนต์เสน่ห์ของปู่เจ้าสมิงพรายจะไม่เห็นผล จึงได้ขอร้องให้ปู่เจ้าสมิงพรายช่วยเหลืออีกครั้ง โดยให้ช่วยเนรมิตไก่งามขึ้นตัวหนึ่งให้มีเสียงขันที่ไพเราะ ทั้งสองพระองค์คิดว่าไก่ตัวนั้นจะต้องทำให้พระลอสนพระทัยและติดตามาจนถึงเมืองสรองอย่างแน่นอน


               และแล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่เจ้าหญิงสองคาดไว้ พระลอได้ตามไก่เนรมิตไปจนถึงพระราชอุทยาน และได้พบกับเจ้าหญิงทั้งสองซึ่งกำลังทรงสำราญอยู่ ในทันทีที่ทั้งสามได้พบกันก็เกิดความรักใคร่กันในบัดดล และก็เป็นเวลาเดียวกับที่นายแก้วกับนายขวัญ ได้ตกหลุมรักของนางรื่นและนางโรยผู้ซึ่งเปิดหัวใจต้อนรับชายหนุ่มทั้งสองโดยไม่รีรอเช่นกัน ปรากฏว่าพระลอและบ่าวคนสนิทของพระองค์ลักลอบเข้าไปอยู่ในพระตำหนักชั้นในซึ่งเป็นที่ประทับของเจ้าหญิงทั้งสอง

              อย่างไรก็ตาม ความลับนี้ได้ถูกเปิดเผยเข้าจนได้ เมื่อข่าวได้ไปถึงพระกรรณของพระราชาจึงได้เสด็จมาไต่สวนในทันที และเมื่อพระลอกราบทูลให้ทรงทราบเรื่อง พระองค์ก็ทรงกริ้วเป็นยิ่งนัก แต่ก็ทรงเข้าพระทัยในความรักของคนทั้งสาม และทรงจัดพิธีอภิเษกสมรสให้ทั้งสามพระองค์ทันที

              ด้วยการอ้างเอาพระราชโองการของพระราชโอรสของพระนางคือ ท้าวพระพิชัยวิษณุกร พระเจ้าย่าจึงสั่งให้ทหารล้อมพระลอและไพร่พลเอาไว้ ในขณะที่พระลอกับไพร่พลได้ต่อสู้เอาชีวิตรอด พระนางก็สั่งให้ทหารระดมยิงธนูเข้าใส่ ลูกธนูที่พุ่งเข้าหาพระองค์และไพร่พลประดุจดังห่าฝนก็ไม่ปานจึงทำให้ไม่อาจจะต้านทานไว้ได้อีกต่อไป




และเพื่อที่ปกป้องชีวิตของชายคนรักพระเพื่อนกับพระแพงจึงเข้าขวางโดยใช้ตัวเองเป็นโล่กำบังให้พระลอ ทั้งสามจึงต้องมาสิ้นพระชนม์ในอ้อมกอดของกันและกันท่ามกลางศพของบ่าวไพร่ ณ ที่ตรงนั้นเอง ทันใดนั้นทั้งสองเมืองก็ต้องตกอยู่ในความวิปโยคต่อการจากไปของทั้งสามพระองค์ผู้บูชาในรักแท้


ตำนาน ถ้ำผานางคอย จ.แพร่


                             ถ้ำผานางคอย ถ้ำแห่งตำนานรัก



อรัญญานี..จะคอยพี่…อยู่ที่นี่

แม้ร้อยปี….นานเท่านาน….ยังคงหวัง

ขอเฝ้าคอย…แม้จะสิ้น….ลมพลัง

ชาติหน้ายัง…คงคอยพี่…อยู่ที่เดิม

ถ้ำผานางคอยอยู่ที่บ้านผาหมู อำเภอร้องกวาง เป็นถ้ำธรรมชาติขนาดใหญ่นี้มีความสวยงาม มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า ถ้ำนางคอย ปัจจุบันจึ่งมักนิยมเรียกว่า ถ้ำผานางคอย ตัวถ้ำอยู่บนผาสูงประมาณ 50 เมตร หน้าถ้ำมีลานหินกว้าง ตัวถ้ำมีความลึก ที่มีลักษณะยาวขนานไปในระดับพื้นดินประมาณ 150 เมตร กว้างประมาณ 20 เมตร ภายในถ้ำเป็นพี้นดินเรียบ บางตอนมีเหวลึก ผนังถ้ำมีหินงอก หินย้อยที่สวยงาม ส่งแสงสะท้อนเป็นประกายระยิบระยับ เมื่อต้องแสงสว่างไปตลอดความยาวของถ้ำ เมื่อเกือบถึงปากสุดของถ้ำที่ทะลุมีทางออกกว้าง ปริเวณกลางถ้ำมีหินงอกขนาดใหญ่มีลักษณะคล้ายผู้หญิงอุ้มลูกไว้ในอ้อมแขน เรียกว่า ผานางคอย เป็นจุดสำคัญของถ้ำนี้



ตำนานของถ้ำนี้เป็นที่เล่าขนานกันมานานแล้วไม่แพ้กับตำนาน ของพระลอ เลยละครับ เนื้อจากตำนานนี้มีมานาน จึงทำให้การกล่าวขานของตำนานนี้ถูกแปรเปลี่ยนไป จากปากต่อปากจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งพอจะหาได้คราวๆ ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้

ตำนานที่ ๑
ณ ถ้ำแห่งนี้เองที่มีตำนานความรักระหว่างทหารต่ำศักดิ์กับเจ้าหญิง(เจ้านาง)สูงศักดิ์คู่หนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อ พ.ศ.1700 อาณาจักรแสนหวีมีความเจริญรุ่งเรืองมาก(สันนิษฐานว่าแสนหวีในที่นี้คือแสนหวีที่สิบสองปันนาหรือที่เชียงรุ่ง ไม่ใช่แสนหวีหลวงเมืองเงี้ยว) กษัตริย์ปกครองอย่างสงบสุข พระองค์ทรงมีราชธิดาองค์หนึ่งมีสิริโฉมงดงามมาก มีน้ำพระทัยดี มีพระนามว่า เจ้าหญิงอรัญญานี ครั้งหนึ่ง เจ้าหญิงได้เสด็จโดยชลมารคแล้วเรือล่ม หัวหน้าฝีพายได้ช่วยเหลือเจ้าหญิงไว้ได้ ทั้งสองจึงเกิดรักกัน จนเจ้าหญิงทรงครรภ์ พระราชบิดาทราบเรื่องก็ทรงพิโรธ จึงได้ขังเจ้าหญิงไว้ แต่ฝ่ายชายก็หาโอกาสช่วยพาหนีลงมาทางใต้ โดยมีกองทหารไล่ตามอย่างกระชั้นชิด เมื่อมาทันที่หุบเขาแห่งหนึ่ง เจ้าหญิงถูกยิงด้วยธนู ฝ่ายชายจึงพาไปหลบซ่อนในถ้ำเพื่อรักษาพยาบาล เจ้าหญิงเห็นว่าทหารกำลังตามมา จึงให้ฝ่ายชายหนีไปก่อน และบอกว่าจะคอยฝ่ายชายอยู่ในถ้ำนี้ตลอดไป ถ้ำนี้จึงได้ชื่อว่า ถ้ำผานางคอย หรือถ้ำนางคอย

ตำนานที่ ๒
อีกตำนานบอกว่า หัวหน้าฝีพายพานางหนีไปอยู่ในถ้ำ และออกไปหาอาหาร เคราะห์ร้ายทหารตามมาพบและจัดการสังหารเขาเสีย องค์หญิงรู้ว่า สามีคงเสียชีวิตแล้ว จึงตั้งอธิษฐานว่า จะรอคอยให้สามีกลับมาตลอดไป ด้วยอานุภาพสัจจะ นางจึงกลายเป็นหิน เงยหน้ามองปากถ้ำ รอคอยการกลับมาของชายคนรักจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้.

ตำนานที่ ๓
อีกตำนานบอกว่า เมื่อเจ้าครองนครทรงทราบก็สั่งให้ทหารออกติดตามคนทั้งสอง ทหารขี่ม้าทันทั้งสองคนที่ซอกเขาแห่งหนึ่ง และยิงธนูไปหมายจะเอาชีวิตชายหนุ่ม แต่ธนูพลาดไปถูกนางอรัญญนีได้รับบาดเจ็บสาหัส สามีของนางจึงพานางเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในถ้ำ นางอรัญญนีรู้ตัวว่า คงไม่รอดชีวิต จึงขอร้องให้สามีหนีเอาตัวรอดโดยให้สัญญาว่าจะรออยู่ที่ถ้ำแห่งนี้ตลอดไป ชาย หนุ่มจึงจำใจต้องจากไปตามคำขอร้องของนาง ส่วนนางอรัญญนีก็นั่งมองดูสามีควบม้าหนีห่างไปจนลับตา และสิ้นใจตายอยู่ในถ้ำแห่งนั้นลานที่นางนั่งดูสามีควบม้าจากไปนั้น ต่อมาเรียกว่า ลาน นางคอย ส่วนถ้ำแห่งนั้นก็ได้ชื่อว่า ถ้ำผานาง

ตำนานผาชู้

                                     ตำนาน ผาชู้



ผาชู้ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ
ศรีน่าน อ.นาน้อย จ.น่าน

คำว่า “ชู้” ในที่นี่ ข้อมูลส่วนใหญ่ระบุว่า ไม่ได้หมายถึงชู้สาว แต่หมายถึงคนรัก

          สำหรับตำนานรักที่นี่แม้จะมีหลายเวอร์ชั่น แต่ที่โดดเด่นและได้รับการยอมรับมากที่สุดเห็นจะเป็น ตำนานรัก 3 เส้า ระหว่าง “เจ้าจ๋วง” หนุ่มรูปงามเจ้าแขวงเมืองศรีษะเกษ กับ“เจ้าจันทน์ผา”(เจ้าจันทร์) และ “เอื้อง”(เจ้าเอื้อง)


         เจ้าจันทน์ผาเป็นชายาของเจ้าจ๋วงอยู่แล้วแต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ส่วนเอื้องเป็นสาวงามลูกสาวพรานป่าที่เจ้าจ๋วงมาพบรักในระหว่างออกล่าสัตว์และได้ครองคู่กันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่เจ้าจันทน์ผาซึ่งเห็นสามีตัวเองหายไปจะตามมาพบเจ้าจ๋วงอยู่กับสาวเอื้อง

เมื่อเกิดปัญหาความรักอีรุงตุงนัง 2 หญิง 1 ชาย ขึ้น เมื่อสุดท้ายหญิงสาวทั้งสองยื่นคำขาดให้เจ้าจ๋วงต้องเลือกใครคนใดคนหนึ่ง เจ้าจ๋วงตัดสินใจไม่ได้เพราะรักทั้งคู่ จึงอธิษฐานว่า

“...ถ้าความรักของเราทั้งสามเป็นความรักที่บริสุทธิ์ เป็นรักแท้ตราบชั่วนิรันดร์ ขอให้ร่างกายเรากลับกลายเป็นต้นไม้อยู่คู่กับโขดหินใหญ่แห่งนี้ตลอดกาล...”

แล้วเจ้าจ๋วงก็กระโดดหน้าผาตาย เจ้าจันทน์ผาเห็นดังนั้นก็กระโดดหน้าผาตายตาม ทำให้เอื้องที่เกรงกลัวบาปกรรมกระโดดหน้าผาตายไปอีกคน

เจ้าจ๋วงเมื่อตายแล้วกลายเป็น “ต้นจ๋วง” หรือ “สนเขา” เจ้าจันทน์ผาร่างไปตายติดอยู่บนหิน กลายเป็น “ต้นจันทน์ผา” ส่วนร่างของสาวเอื้องตายไปติดอยู่บนต้นไม้กลายเป็น “ต้นเอื้อง” หรือ กล้วยไม้

และนี่ก็เป็นตำนานรักอันโดดเด่นของผาชู้ ซึ่งยังมีอีก 2-3 ตำนานเล่าขานกัน ขณะที่บางคนบอกว่าชื่อผาชูมาจากคำว่าเชิดชู บ้างก็บอกว่ามาจากคำว่า“ชูธง” เพราะบนยอดผาชู้ที่ตั้งสูงตระหง่านขึ้นไปนับร้อยเมตร มีเสาธงชาติไทยชักธงชาติปลิวไสวตั้งอยู่ เป็นเสาธงชาติอันขึ้นชื่อเพราะมีสายชักธงชาติยาวที่สุดในประเทศไทยถึง 200 เมตร(ไป-กลับ)เลยทีเดียว

ปัจจุบันผาชู้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นของอุทยานแห่งชาติศรีน่านเคียงคู่กับดอยเสมอดาวที่อยู่ไม่ไกลกัน ที่ผาชู้เป็นจุดชมวิวและทะเลหมอกชั้นดี มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมขาติและเส้นทางเดินขึ้นผาชู โดยบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวจะมีต้นจันทน์ผาตามธรรมชาติขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก
นับเป็นต้นไม้ที่ช่วยสนับสนุนให้ตำนานรัก 3 เส้าที่ผาชู้ดูสมจริงสมจังมากขึ้น

อาแวสะดอ ตาและ จอมโจรแห่งเทือกเขาบูโด



                                                   อาแวสะดอ จอมโจรแห่งเทือกเขาบูโด
                                               (รูปประกอบเป็นรูปตัวอย่างจากหนังนะครับ)



โจรอาแวสะดอ (คำ สะดอ หรือ สีดอ ในความหมายเดียวกับช้างตัวผู้ไม่มีงา
เกิดก่อนสงครามโลกเล็กน้อย นายตำรวจที่มาปราบจนสำเร็จ คือ ขุนพันธ์รักษุราชเดช
ขุนโจรผู้นี้มีพฤติกรรมปล้นฆ่าไม่มาก ส่วนมากจะเป็นการข่มขู่เคยเข้ามาขอทรัพย์สิน
ที่บ้านเขาน้อย ครั้งนั้นได้ปืนลูกซองยาวของนายราม ชัยโป ไป 1 กระบอก

ก่อนที่จะถูกขุนพันธรักษุ์ราชเดชปราบปรามราบคาบในวันที่ 8 มิถุนายน 2481 ขุนพันธรักษ์ราชเดช
ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นนายร้อยตำรวจเอกและในปีเดียวกันนั้นขุนพันธ์รักษ์ราชเดช ได้ทำงานใหญ่ที่ท้าทายต่อความตายเมื่อต้องไปเผชิญหน้ากับจอมโจรชาวมุสลิมนามว่า “อะแวสะดอ ตาและ”
เป็นหัวหน้าโจรที่ยิ่งใหญ่มาก นอกจากจะเป็นผู้ร้ายปล้นฆ่าแล้วยังเป็นโจรที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมือง
เรื่องแบ่งแยกดินแดนสี่จังหวัดภาคใต้อีกด้วยซึ่งมีนายทุนอิทธิพลหนุนหลังอยู่ลับๆ




              มีเรื่องเล่าว่าอะแวสะดอ ตาและ นี่เวลาเกิดคุ้มคลั่งของขึ้นเขาจะให้ลูกน้องหลายๆคนนำปืนมารุมยิงตัวเขาเองหลายๆนัด จอมโจรอะแวสะดอ ตาและ เป็นคนบ้านกาเยาะมาตี อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งอยู่แถบเชิงเขาบูโดตามบันทึกของทางราชการกล่าวไว้ว่าประวัติของนายอะแวสะดอ ตาและ นั้นเขาเป็นลูกชายของ “โต๊ะยี” ชาวอิสลามที่มีผู้คนนับหน้าถือตากันอย่างกว้างขวางบ้านเดิมของเขาอยู่ที่หมู่บ้านโล๊ะบากู ตำบลจำปากอ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาสเป็นผู้ร้ายปล้นทรัพย์ ตำรวจจับได้แล้วเคยส่งไปกักขังไว้ที่อำเภอสัตหีบจังหวัดชลบุรี พร้อมกับนายสะมะแอลูกน้องคนสนิท ต่อมาทั้งสองคนหลบหนีกลับมาได้เมื่ออะแวสะดอ ตาและ กับ สะมะแอหนีกลับไปยังนราธิวาสแล้ว จึงมีการรวมสมัครพรรคพวกได้จำนวน 9 คนเที่ยวออกปล้นสะดมตามหมู่บ้านต่างๆ ไม่ว่างเว้น และทุกครั้งที่โจรก๊กอะแวสะดอเที่ยวออกปล้น มันจงใจปล้นแต่คนไทยพุทธเท่านั้นเมื่อปล้นแล้วจะต้องฆ่าเจ้าของบ้านตาย
ด้วยวิธีการที่เหี้ยมโหดพิสดารทุกรายไปสำหรับกรรมวิธีการฆ่าซึ่งพิสดารเหี้ยมโหดนั้น
อะแวสะดอ ตาและ จะจิกผมแล้วใช้กริช ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวของมันทิ่มแทงที่คอจากนั้นมันจะกดกริชหมุนคมคว้านเอาเนื้อหรือหลอดลมออกมา ในการฆ่าบางราย อะแวสะดอ ตาและจะคว้านไส้เหยื่อออกมาด้วย นับว่าเป็นพฤติกรรมที่ทารุณโหดร้ายผิดปกติธรรมดาเป็นที่หวาดกลัวแก่ชาวไทยโดยทั่วไป
เป็นอาชญากรก่อคดีสะท้านสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง ประกอบกับมีวิชาไสยศาสตร์ป้องกัน
สามารถรูดโซ่ รูดกุญแจออกได้อย่างง่ายดาย มีผ้าประเจียด ตับมนุษย์เคราทองแดงและช้องหมูป่าเป็นเครื่องลางของขลัง
ดังนั้นทางราชการจึงจำเป็นต้องตั้งกองปราบปรามพิเศษขึ้นโดยมีผู้บังคับการภูธรเขตเป็นหัวหน้า พร้อมด้วยหม่อมทวีวงศ์ ถวัลศักดิ์ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสในขณะนั้น และมีหลวงจำรูญ ณ สงขลาปลัดจังหวัดเป็นผู้ช่วยกองปราบพิเศษดังกล่าวนี้ยังได้เกณฑ์เอาตำรวจสงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาสเอาเข้าไปในกองกำลังปราบปรามดังกล่าวจัดตั้งกองอำนวยการขึ้นแบ่งหน่วยปราบปรามออกเป็น 3 หน่วย คือ
หน่วยที่ 1 แต่งตั้งร.ต.อ.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นหัวหน้า ใช้กำลังตำรวจกองตรวจสงขลาเป็นลูกน้องเพราะขณะนั้น ขุนพันธรักษ์ราชเดช อยู่ที่สงขลาให้นายสิบพื้นเมืองเป็นล่าม

หน่วยที่ 2 แต่งตั้ง ร.ต.อ.ปรี สุศีลวรณ์เป็นหัวหน้า ใช้ตำรวจกองพิเศษปัตตานี

หน่วยที่ 3 แต่งตั้งร.ต.ท.หม่อมราชวงศ์สะอ้าน ลัดดาวัลย์ เป็นหัวหน้า ใช้ตำรวจนราธิวาส และมีร.ต.ท.เขตต์ บุณยพิพัฒน์เป็นเสมียนอำนวยการ
การทำงานครั้งนั้นให้หน่วยกองปราบเสือตั้งหน่วยเอาเอง มีการกำหนดจุดต่างๆ เอาไว้ 3 จุด คือ เขาแกและบาตุตะโมง และวัดหัวเขาวันที่ปะทะกันเป็นคืนวันพุธ เวลาตี 4 ครึ่งนกป่าสัตว์ป่าก็ตื่นร้องเป็นแถวจากด้านตะวันออกขณะนั้นทุกคนได้ยินเสียงกิ่งไม้หักใกล้เข้ามาและได้ยินเสียงพูดพึมพำแต่ยังไม่เห็นตัวร.ต.ท.หม่อมราชวงศ์สะอ้านก็พูดออกมาเป็นภาษามลายูว่า “อีตูสะปอ อินี่สเตอรู” มันตอบว่า “กุดเด” เท่านั้นเองฝ่ายขุนพันธรักษ์ราชเดชเล็งปืนยิงตรงแสกหน้าอะแวสะดอ ตาและ ระยะ 2 ศอก
อะแวสะดอ ตาและกลับยืนอยู่เฉย ไม่ตายและไม่ล้ม ขุนพันธ์ฯจึงกระหน่ำยิงอีก ในที่สุดมันก็ล้มลง
พรรคพวกของมันก็หนีกระเจิงขึ้นเขาไปขุนพันธ์คิดว่ามันตายแน่ๆจึงสั่งให้ตำรวจ 2 นายที่ชื่อลพและเงินเฝ้าศพไว้ และที่เหลือให้ตามไล่ล่าพรรคพวกโจร แต่พอวิ่งขึ้นเขาไปได้หน่อยเดียวก็เกิดเสียงยิงปะทะข้างล่างตรงจุดที่ให้ตำรวจ 2 นายเฝ้าศพไว้คงมีพรรคพวกของมันเลี้ยวเข้าไปช่วย

ม.ร.ว.สะอ้านซึ่งห่างจากที่เกิดเหตุสัก 8 วา จึงเล็งยิงโจรอะแวสะดอ ตาและไปอีก ตำรวจอีก 2 คนช่วยยิงสกัดเข้าไปแต่ไม่เป็นผล กระหน่ำยิงจนลูกปืนหมดทุกคน ทั้งที่คนยิง แน่ใจว่าได้ยิงถูกอะแวสะดอ ตาและ หลายนัดแล้วมันน่าจะตาย แต่ยังเดินยังยืนได้ขุนพันธ์ฯตัดสินใจวิ่งเข้าไปชกต่อยอะแวสะดอ ตาและ ทุกคนกรูเข้าไปชกวงใน ไม่รู้ว่าหมัดใครต่อหมัดใครเพราะท้องฟ้ายังไม่สว่างดีผลที่สุดอะแวสะดอ ตาและ หมดเรี่ยวแรง กว่าทำให้สภาพจากเสือร้ายกลายเป็นแมวต้องใช้เวลากว่า 30 นาที
เจ้าหน้าที่ตำรวจจับโจรอะแวสะดอใส่กุญแจมือไว้

พอฟ้าสว่าง เจ้าหน้าที่พยายามแกะเครื่องรางที่เอวของอะแวสะดอ ตาและที่มันผูกกับลวดแข็งเอาไว้
แกะอย่างไรก็ไม่ออกอะแวสะดอ ตาและคงรำคาญเลยกระชากจนลวดขาดแล้วปาเข้าป่าไป
ไปตามเก็บมาได้จึงถามว่านี่อะไรอะแวสะดอ ตาและบอกว่าบาบีช้องหมูป่า

พอไปถึงสถานีตำรวจ ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบสวนอะแวสะดอ ตาและผู้นี้คายหัวกระสุนทั้ง 9 นัด ลงกลางโต๊ะสอบสวนที่น่าทึ่งตอนที่ยิงปืนเข้าไป อะแวสะดอ ตาและ
เอากระสุนเข้าปากไป 9 เม็ดแล้วอมไว้ ปากไม่มีรอยแตก ฟันไม่หักส่วนที่ถูกหน้าผากก็เหมือนถูกเล็บขีด
ส่วนที่ยิงตามตัวไม่ถูกเลยเสื้อผ้าก็ไม่เป็นรอยขาดภายหลังถูกจับกุม เครื่องรางของขลังต่าง ๆ
ถูกยึดไว้เป็นหลักฐาน

ทางการตำรวจจับตัวอะแวสะดอ ตาและไปที่สถานีตำรวจนราธิวาสขังไว้ 3 วันมีประชาชนตั้งแต่ปัตตานี ยะลา รัฐกลันตันแห่พากันไปดูหน้าจอมโจรเจ้าพ่อเทือกเขาบูโดแน่นขนัดโรงพัก ตำรวจเห็นว่าขืนขังไว้ที่นี่คงไม่ดีแน่จึงนำตัวอะแวสะดอ ตาและ ไปฝากขังที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาสอะแวสะดอ ตาและ
ก็เป็นเช่นขุนโจรชื่อดังในอดีตของทางภาคใต้ที่ถือว่าการตายด้วยฝีมือเจ้าหน้าตำรวจเป็นการตายที่ไร้เกียรติอย่างยิ่งสำหรับจอมโจรอย่างเขาดังนั้นไม่เกิน 10 วัน อะแวสะดอ ตาและตัดสินใจกินยาพิษฆ่าตัวตาย



ความสามารถพิเศษที่ปราบปรามจอมโจรอะแวสะดอ ตาและได้สำเร็จ ครั้งนั้นนับว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
ของขุนพันธรักษ์ราชเดช ทำให้ความสงบสุขกลับคืนมาจนได้รับการยกย่องจากคนไทยพุทธและคนไทยมุสลิมที่ต่างพากันตั้งฉายาให้ว่า “รายอกะจิ" นอกจากนี้ขุนพันธ์ฯยังได้รับพระราชทานรางวัลจากเจ้าเมืองรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ส่งมีดพกเล่มหนึ่ง มาให้ ซึ่ง ท่านขุนพันธ์ถือเป็นเกียรติอย่างสูงในชีวิต

ตำนานขุนโจร 5 นัด (เสือเรียง)

เสือเรียง (ขุนโจร 5 นัด)

           เป็นเพราะก่อนปล้นเขายิงปืนเป็นปฐมฤกษ์ 5 นัด หลังปล้นก็ยิงปิดท้ายอีก 5 นัด จึงได้รับการขนานนามว่า “เสือเรียง” 5 นัด ประกอบกับขึ้นชื่อด้านคาถาอาคม จนได้รับฉายาจอมขมังเวทย์ต่อท้ายชื่อด้วย
หากจะย้อนกลับไปก่อนปี 2499 ชื่อของ “จำเรียง ปางมณี” แทบไม่มีใครรู้จัก แต่หากจะเอ่ยถึง “เสือเรียง 5 นัด” แห่งบางแม่นาง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี น้อยคนจะไม่รู้จักเขาในฐานะที่เป็นจอมโจรขมังเวท ผู้ก่อคดีอย่างอุกอาจท้าทายกฎหมายบ้านเมือง โหดเหี้ยมไร้ความปรานีต่อเหยื่อ และรอดพ้นเงื้อมมือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไปได้ราวกับปาฏิหาริย์ นี่เองจึงกลายเป็นที่มาของฉายาเสือเรียง 5 นัด จอมโจรขมังเวทแห่งเมืองนนท์


            จำเรียงจะเกิดปีไหนวันอะไรไม่ปรากฏหลักฐานให้ติดตามค้นหาได้ แต่เขาเป็นลูกของพ่ออุ่มและแม่ทิม ปางมณี ณ บางเชือก อ.ตลิ่งชัน จ.นนทบุรี เขาเติบโตอยู่ที่นี่จนกระทั่งอายุได้ 23 ปี พ่อและแม่ย้ายจากบางเชือกไปลงหลักปักฐานที่บางแม่นาง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี แต่จำเรียงไม่ได้ย้ายตามไปด้วย เพราะเขาไปหลงติดพันกับหญิงสาวคนหนึ่ง
ความรักของจำเรียงกับสาวบางเชือกมีอุปสรรคนานัปการ ด้วยญาติผู้ใหญ่ไม่ชอบชายหนุ่มที่มีฐานะต่ำต้อยกว่า ถึงกับกีดกันไม่ให้คบหา บางครั้งก็ดูถูกเหยียดหยามเอาอย่างเจ็บแสบ จำเรียงเองในวัยหนุ่มแน่นดูเหมือนความอดทนอดกลั้นดูจะมีอยู่อย่างจำกัด ไม่นานเขาก็ตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น ด้วยการใช้ปืนพกยิงยายของหญิงสาวผู้เป็นที่รักจนเสียชีวิต
จำเรียง ถูกจับศาลตัดสินจำคุก 20 ปี แต่หลังจากชดใช้กรรมในแดนกำแพงกรรมได้เพียง 7 ปี ก็พ้นโทษออกมา จำเรียงกลับไปอยู่กับพ่อและแม่ที่บางใหญ่ ทำมาหาเลี้ยงชีพจนมีเมีย 2 คน กับลูกอีก 8 คน ด้วยการต้มเหล้าเถื่อนขาย ธุรกิจผิดกฎหมายนี้แลกมาด้วยการจ่ายอากรบ่อนเบี้ยให้กับเจ้าหน้าที่นอกแถว ที่บ้างก็มาขอเหล้าบ้างเงินบ้างแล้วแต่ความต้องการ ณ ขณะนั้น
แม้บางครั้งบางคราเกิดข้อหาหมั่นไส้ก็จับเอาดื้อๆ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนความชินชากลายเป็นสุดจนทานทน จำเรียงหันมาจับปืนอีกครั้ง เพียงแต่เหยื่อคมกระสุนของเขาครั้งนี้เป็นถึง “เจ้าหน้าที่บ้านเมือง” !!!
นับตั้งแต่การตายของเจ้าหน้าที่คนนั้น วิถีชีวิตของจำเรียงก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาระเห็จออกจากบ้านอย่างคนมีชนักติดหลัง และรวบรวมสมัครพรรคพวกออกปล้นจี้ชาวบ้านนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พร้อมกับคำนำหน้าชื่อใหม่ จาก “จำเรียง” เป็น “เสือเรียง” แทน


เสือเรียงใช้ปืนบาเร็ตต้าเป็นอาวุธประจำกาย ก่อนปล้นเขาจะยิงปืนขึ้นฟ้า 5 นัด เป็นการเบิกฤกษ์ และก่อนพาพวกถอยหนีก็จะยิงขึ้นฟ้าอีก 5 นัด จนได้รับการขนานนามในเวลาต่อมาว่า “เสือเรียง 5 นัด”
กลางดึกวันที่ 10 ธันวาคม 2499 ราตรีเงียบสงัดผู้คนหลับไหลอยู่ในนิทรารมย์ มีเพียงเสือเรียงกับสมุนที่ตื่นขึ้นมาวางแผนปล้นบ้านของ “เซียมเง็ก แซ่โซว” ต.บางแค อ.ภาษีเจริญ จ.ธนบุรี คหบดีแห่งคลองภาษีเจริญ เสียงปืนที่ดังกึกก้องกัมปนาท 5 นัดติดต่อกัน เป็นสัญญาณให้สมุนโจรถือฤกษ์บุกปล้น ขณะเดียวกันก็ปลุกให้เหยื่อตื่นจากภวังค์
แต่ไม่ว่าเซียมเง็ก แซ่โซว และประสาร กลิ่นบัว จะพร่ำวอนร้องขอชีวิตสักเท่าใด เสือเรียงและสมุนก็หาได้ปรานีไม่ เขากระหน่ำยิงทั้งสองเสียชีวิตแล้วกวาดเอาทรัพย์สินไปกว่าหมื่นบาท ก่อนถอยหนีเขาไม่ลืมที่จะยิงปืนขึ้นฟ้าเหมือนเป็นการบอกลาอีก 5 นัดปิดท้าย


การปล้นครั้งนี้ส่งให้ชื่อเสียงด้านลบของเสือเรียงขจรขจายไปทั่ว ความเดิมยังไม่ทันคลี่คลายความใหม่ก็เกิดขึ้น เมื่อเสือเรียงนำสมุนบุกปล้นชาวบ้านและฆ่าเจ้าของบ้านตายลักษณะเดียวกันกับเซียมเง็กไม่มีผิดเพี้ยน ที่สำคัญบ้านเกิดเหตุอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเซียมเง็กเลย
พฤติกรรมโหดเหี้ยมไร้ความปรานีแม้เหยื่อจะยอมจำนนเช่นนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า หนังสือพิมพ์ทุกฉบับต่างตีพิมพ์ข่าวสร้างความหวาดผวาไปทั่วทุกหัวระแหงของ จ.ธนบุรี ร้อนถึง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ เรียกตำรวจ 4 สน. ได้แก่ สน.บางขุนเทียน สน.ท่าข้าม สน.หลักสอง และ สน.ภาษีเจริญ ให้เร่งปราบจอมโจรรายนี้ให้ได้โดยเร็ว

การติดตามค้นหาแหล่งกบดานของเสือเรียงและพลพรรคเป็นไปอย่างยากลำบาก โดยเฉพาะที่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ปราศจากวี่แววของเสือร้าย กระทั่งผ่านไป 2 สัปดาห์ ตำรวจจึงได้เบาะแสหนึ่งถึงแหล่งหลบซ่อนตัว ณ กระท่อมกลางสวนผลไม้ลึกเข้าไปจากจุดที่เสือเรียงพาพวกบุกปล้นสองครั้งหลัง ในเขต ต.หัวกระบือ อ.บางขุนเทียน จ.ธนบุรี บ้านของญาติที่เสือเรียงเคยอาศัยในวัยเด็กนั่นเอง
นอกจากความโหดเหี้ยมไร้ความปรานีปราศรัยแล้ว เสือเรียงยังขึ้นชื่อในด้านยิงปืนแม่นด้วย ดังนั้น ก่อนการปิดล้อมจับกุมตำรวจจึงต้องวางแผนอย่างรัดกุม ตำรวจจาก 4 สน.ร่วม 100 นาย โอบล้อมกระท่อมตั้งแต่เที่ยงคืน แล้วซุ่มดูอยู่จนสว่าง เพื่อประเมินดูฝ่ายตรงข้ามว่ามีกำลังมากน้อยเท่าไร สุดท้ายก็ได้รู้ว่าในกระท่อมนั้นมีเพียงเสือเรียงกับ เสือศิริ สงวนพันธ์ ลูกสมุนคนสนิท เพียง 2 คนเท่านั้น

เช้าตรู่ ส.ต.อ.ปลอด จันทร์งาม ตำรวจบางขุนเทียนวัย 42 ปี ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เจรจา แต่อนิจจา ! เรื่องยังไม่ทันไปถึงไหน ส.ต.อ.ปลอด ก็ถูกสังหารต่อหน้าต่อตาตำรวจนับร้อยนายที่โอบล้อมอยู่ กระสุนจากปืนบาเร็ตต้า 5 นัด พุ่งออกจากปากกระบอกตรงเข้ากลางตัว ส.ต.อ.หนุ่มเสียชีวิตทันที พร้อมกับการเปิดฉากระดมยิงใส่กระท่อมเล็ก เกิดการยิงตอบโต้อยู่พักใหญ่ เสียงคมกระสุนแหวกอากาศดังระงมกลางสวนผลไม้
10 นาทีผ่านไป นอกจากความตายของ ส.ต.อ.ปลอด แล้วยังมีเพื่อนตำรวจอีกเกือบ 100 นาย ได้รับบาดเจ็บ หลังการดวลปืนจบลงตำรวจเข้าเคลียร์พื้นที่ไม่ปรากฏร่องรอยของจอมโจรทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย
จากการปะทะกลางสวนผลไม้บางขุนเทียนแล้ว ยังมีการปะทะกันระหว่างตำรวจกับเสือเรียงอีกหลายครั้งหลายครา แต่เสือเรียงก็สามารถเอาตัวรอดไปได้ทุกครั้งคราเช่นกัน ทิ้งความสูญเสียให้กับฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง โดยมีอย่างน้อย 3 ครั้ง ที่ตำรวจเพลี่ยงพล้ำสังเวยชีวิตให้กับกระสุนเสือเรียง


“สมัยนั้นหนังสือพิมพ์สารเสรีลงข่าวเกี่ยวกับความน่าสะพรึงกลัวของเสือเรียงแทบทุกวัน ขณะเดียวกันก็มีตำรวจหลายนายออกมายืนยันบนหน้าหนังสือพิมพ์ถึงความแม่นยำในการยิงปืน ปาฏิหาริย์ และเวทมนตร์คาถาของเสือเรียง หนักสุดถึงกับว่าหายตัวไปต่อหน้าต่อตาก็มี กระสุนปืนทำอะไรไม่ได้เลย” บรรเจิด เปลี่ยนเชาว์ อายุ 79 ปี ชาวบ้านบางใหญ่ จ.นนทบุรี ระบุ ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์ได้นำเสนอข่าว หลวงพ่อเต๋ คงทอง เกจิอาจารย์ดังจากนครปฐม ออกมายืนยันว่าเสือเรียงสามารถหายตัวไปยิ่งทำให้ชาวบ้านหวาดกลัวเสือเรียงมากขึ้นไปอีก แม้ชาวบ้านจะปักใจเชื่อในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ แต่ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเชื่อว่า เสือเรียงเพียงแต่ยิงปืนแม่นและหลบหลีกเอาตัวรอดได้เก่งเท่านั้น ทำให้รอดพ้นจากการจับกุมมาได้ตลอด ดังจะเห็นได้จากเสือเรียงถูกวิสามัญฆาตกรรมในเวลาต่อมา หลังจากตำรวจจับตายเสือศิริลูกสมุนคนสนิทแล้ว 16 เมษายน 2500ตำรวจสืบทราบว่าเสือเรียงกบดานอยู่ที่บ้านอาจารย์สักยันต์ผู้หนึ่งใน อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ กำลังตำรวจกว่า 100 นาย ตรงเข้าปิดล้อมบ้านหลังดังกล่าวเอาไว้ สังเกตเห็นชายฉกรรจ์ 3 คนอยู่ในบ้าน หนึ่งเป็นอาจารย์เจ้าของบ้าน เสือเรียง ส่วนอีกคนไม่ปรากฏว่าเป็นผู้ใด
          ทันทีที่รู้ตัวว่าถูกปิดล้อมเสือเรียงดับตะเกียงเจ้าพายุกระโดดออกหน้าต่างลงเรือพายหนีไปทางคลองแม่ประเส่อ ซึ่งเป็นคลองลัดระหว่างคลองเสือตายกับคลองอ้อม ตั้งใจมุ่งออกคลองเสือตายเพราะเป็นคลองใหญ่
แต่เสือเรียงคงหารู้ไม่ว่ามัจจุราชกำลังจ้องคอยอยู่แล้ว อีกอย่างนอกจากฤกษ์ปล้นสะดมแล้วเขาคงห่างเหินจากการดูชะตาชีวิตตัวเอง ดังนั้นหลังจากลงเรืออีแปะได้ไม่นานเสือเรียงก็ถูกคมกระสุนจาก พลตำรวจพุ่ม ทิมเจริญ เสียชีวิตอยู่บนเรืออีแปะนั่นเอง
สภาพศพเสือเรียงกำปืนบาเร็ตต้าคู่กายเอาไว้แน่น กระสุนอีกจำนวนมาก ข้างเอวปรากฏปืนออโตเมติกโคลท์ 9 มม. กระสุนเต็มแมกกาซีน บนผมเหน็บหวีอยู่ 1 อัน บริเวณคอแขวนพระเครื่องกว่า 20 องค์เป็นพวงใหญ่ นับจากวันนั้นชื่อเสียงของเสือเรียงก็สูญหายไปทุกวินาทีที่เวลาล่วงผ่านไป
สิ้นลายด้วยปืนเจ้า
บรรเจิด เปลี่ยนเชาว์เล่าว่า ครั้งหนึ่งมีคนเคยแต่งเพลงเกี่ยวกับทุ่งบางพลี เนื้อบางตอนว่า “บางพลีเมื่อก่อนเคยมีเสือร้าย บัดนี้มันก็วอดวาย สิ้นลาย” ซึ่งเสือร้ายในที่นี้หมายถึง “เสือเรียง 5 นัด” หรือ จำเรียง ปางมณี ที่ถูกตำรวจบางพลียิงตายไปเมื่อปี 2500
พลตำรวจพุ่ม ทิมเจริญ ใช้อาวุธประจำกายเป็นปืนเล็กยาวบรรจุเองแบบ 66 ซึ่งคนสมัยเก่ารู้ดีว่าเป็นปืนโบราณหรือที่เรียกกันติดปากว่าปืนเจ้า เคยผ่านการทำพิธีรดน้ำพระพุทธมนต์พลวง หลังจากสั่งซื้อมาจากต่างประเทศในรัชสมัยรัชกาลที่ 6 ทำให้เชื่อกันว่าปืนชนิดนี้มีพลานุภาพ สามารถยิงทำลายขุนโจรที่มีคาถาอาคมของลงอักขระของขลังได้ชะงัดนัก
สาเหตุที่มีการประกอบพิธีรดน้ำพระพุทธมนต์หลวง โดยรัชกาลที่ 6 ทรงประกอบพิธีด้วยพระองค์เองก็เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับทหารไทย ที่จะถือปืนชนิดนี้เป็นปืนประจำกายเข้ารณรงค์สงครามยุโรป

 ตำนานเสือเรียง ขุนโจร 5 นัด ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์