อาแวสะดอ จอมโจรแห่งเทือกเขาบูโด
(รูปประกอบเป็นรูปตัวอย่างจากหนังนะครับ)

โจรอาแวสะดอ (คำ สะดอ หรือ สีดอ ในความหมายเดียวกับช้างตัวผู้ไม่มีงา
เกิดก่อนสงครามโลกเล็กน้อย นายตำรวจที่มาปราบจนสำเร็จ คือ ขุนพันธ์รักษุราชเดช
ขุนโจรผู้นี้มีพฤติกรรมปล้นฆ่าไม่มาก ส่วนมากจะเป็นการข่มขู่เคยเข้ามาขอทรัพย์สิน
ที่บ้านเขาน้อย ครั้งนั้นได้ปืนลูกซองยาวของนายราม ชัยโป ไป 1 กระบอก
ก่อนที่จะถูกขุนพันธรักษุ์ราชเดชปราบปรามราบคาบในวันที่ 8 มิถุนายน 2481 ขุนพันธรักษ์ราชเดช
ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นนายร้อยตำรวจเอกและในปีเดียวกันนั้นขุนพันธ์รักษ์ราชเดช ได้ทำงานใหญ่ที่ท้าทายต่อความตายเมื่อต้องไปเผชิญหน้ากับจอมโจรชาวมุสลิมนามว่า “อะแวสะดอ ตาและ”
เป็นหัวหน้าโจรที่ยิ่งใหญ่มาก นอกจากจะเป็นผู้ร้ายปล้นฆ่าแล้วยังเป็นโจรที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมือง
เรื่องแบ่งแยกดินแดนสี่จังหวัดภาคใต้อีกด้วยซึ่งมีนายทุนอิทธิพลหนุนหลังอยู่ลับๆ

มีเรื่องเล่าว่าอะแวสะดอ ตาและ นี่เวลาเกิดคุ้มคลั่งของขึ้นเขาจะให้ลูกน้องหลายๆคนนำปืนมารุมยิงตัวเขาเองหลายๆนัด จอมโจรอะแวสะดอ ตาและ เป็นคนบ้านกาเยาะมาตี อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งอยู่แถบเชิงเขาบูโดตามบันทึกของทางราชการกล่าวไว้ว่าประวัติของนายอะแวสะดอ ตาและ นั้นเขาเป็นลูกชายของ “โต๊ะยี” ชาวอิสลามที่มีผู้คนนับหน้าถือตากันอย่างกว้างขวางบ้านเดิมของเขาอยู่ที่หมู่บ้านโล๊ะบากู ตำบลจำปากอ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาสเป็นผู้ร้ายปล้นทรัพย์ ตำรวจจับได้แล้วเคยส่งไปกักขังไว้ที่อำเภอสัตหีบจังหวัดชลบุรี พร้อมกับนายสะมะแอลูกน้องคนสนิท ต่อมาทั้งสองคนหลบหนีกลับมาได้เมื่ออะแวสะดอ ตาและ กับ สะมะแอหนีกลับไปยังนราธิวาสแล้ว จึงมีการรวมสมัครพรรคพวกได้จำนวน 9 คนเที่ยวออกปล้นสะดมตามหมู่บ้านต่างๆ ไม่ว่างเว้น และทุกครั้งที่โจรก๊กอะแวสะดอเที่ยวออกปล้น มันจงใจปล้นแต่คนไทยพุทธเท่านั้นเมื่อปล้นแล้วจะต้องฆ่าเจ้าของบ้านตาย
ด้วยวิธีการที่เหี้ยมโหดพิสดารทุกรายไปสำหรับกรรมวิธีการฆ่าซึ่งพิสดารเหี้ยมโหดนั้น
อะแวสะดอ ตาและ จะจิกผมแล้วใช้กริช ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวของมันทิ่มแทงที่คอจากนั้นมันจะกดกริชหมุนคมคว้านเอาเนื้อหรือหลอดลมออกมา ในการฆ่าบางราย อะแวสะดอ ตาและจะคว้านไส้เหยื่อออกมาด้วย นับว่าเป็นพฤติกรรมที่ทารุณโหดร้ายผิดปกติธรรมดาเป็นที่หวาดกลัวแก่ชาวไทยโดยทั่วไป
เป็นอาชญากรก่อคดีสะท้านสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง ประกอบกับมีวิชาไสยศาสตร์ป้องกัน
สามารถรูดโซ่ รูดกุญแจออกได้อย่างง่ายดาย มีผ้าประเจียด ตับมนุษย์เคราทองแดงและช้องหมูป่าเป็นเครื่องลางของขลัง
ดังนั้นทางราชการจึงจำเป็นต้องตั้งกองปราบปรามพิเศษขึ้นโดยมีผู้บังคับการภูธรเขตเป็นหัวหน้า พร้อมด้วยหม่อมทวีวงศ์ ถวัลศักดิ์ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสในขณะนั้น และมีหลวงจำรูญ ณ สงขลาปลัดจังหวัดเป็นผู้ช่วยกองปราบพิเศษดังกล่าวนี้ยังได้เกณฑ์เอาตำรวจสงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาสเอาเข้าไปในกองกำลังปราบปรามดังกล่าวจัดตั้งกองอำนวยการขึ้นแบ่งหน่วยปราบปรามออกเป็น 3 หน่วย คือ
หน่วยที่ 1 แต่งตั้งร.ต.อ.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นหัวหน้า ใช้กำลังตำรวจกองตรวจสงขลาเป็นลูกน้องเพราะขณะนั้น ขุนพันธรักษ์ราชเดช อยู่ที่สงขลาให้นายสิบพื้นเมืองเป็นล่าม
หน่วยที่ 2 แต่งตั้ง ร.ต.อ.ปรี สุศีลวรณ์เป็นหัวหน้า ใช้ตำรวจกองพิเศษปัตตานี
หน่วยที่ 3 แต่งตั้งร.ต.ท.หม่อมราชวงศ์สะอ้าน ลัดดาวัลย์ เป็นหัวหน้า ใช้ตำรวจนราธิวาส และมีร.ต.ท.เขตต์ บุณยพิพัฒน์เป็นเสมียนอำนวยการ
การทำงานครั้งนั้นให้หน่วยกองปราบเสือตั้งหน่วยเอาเอง มีการกำหนดจุดต่างๆ เอาไว้ 3 จุด คือ เขาแกและบาตุตะโมง และวัดหัวเขาวันที่ปะทะกันเป็นคืนวันพุธ เวลาตี 4 ครึ่งนกป่าสัตว์ป่าก็ตื่นร้องเป็นแถวจากด้านตะวันออกขณะนั้นทุกคนได้ยินเสียงกิ่งไม้หักใกล้เข้ามาและได้ยินเสียงพูดพึมพำแต่ยังไม่เห็นตัวร.ต.ท.หม่อมราชวงศ์สะอ้านก็พูดออกมาเป็นภาษามลายูว่า “อีตูสะปอ อินี่สเตอรู” มันตอบว่า “กุดเด” เท่านั้นเองฝ่ายขุนพันธรักษ์ราชเดชเล็งปืนยิงตรงแสกหน้าอะแวสะดอ ตาและ ระยะ 2 ศอก
อะแวสะดอ ตาและกลับยืนอยู่เฉย ไม่ตายและไม่ล้ม ขุนพันธ์ฯจึงกระหน่ำยิงอีก ในที่สุดมันก็ล้มลง
พรรคพวกของมันก็หนีกระเจิงขึ้นเขาไปขุนพันธ์คิดว่ามันตายแน่ๆจึงสั่งให้ตำรวจ 2 นายที่ชื่อลพและเงินเฝ้าศพไว้ และที่เหลือให้ตามไล่ล่าพรรคพวกโจร แต่พอวิ่งขึ้นเขาไปได้หน่อยเดียวก็เกิดเสียงยิงปะทะข้างล่างตรงจุดที่ให้ตำรวจ 2 นายเฝ้าศพไว้คงมีพรรคพวกของมันเลี้ยวเข้าไปช่วย
ม.ร.ว.สะอ้านซึ่งห่างจากที่เกิดเหตุสัก 8 วา จึงเล็งยิงโจรอะแวสะดอ ตาและไปอีก ตำรวจอีก 2 คนช่วยยิงสกัดเข้าไปแต่ไม่เป็นผล กระหน่ำยิงจนลูกปืนหมดทุกคน ทั้งที่คนยิง แน่ใจว่าได้ยิงถูกอะแวสะดอ ตาและ หลายนัดแล้วมันน่าจะตาย แต่ยังเดินยังยืนได้ขุนพันธ์ฯตัดสินใจวิ่งเข้าไปชกต่อยอะแวสะดอ ตาและ ทุกคนกรูเข้าไปชกวงใน ไม่รู้ว่าหมัดใครต่อหมัดใครเพราะท้องฟ้ายังไม่สว่างดีผลที่สุดอะแวสะดอ ตาและ หมดเรี่ยวแรง กว่าทำให้สภาพจากเสือร้ายกลายเป็นแมวต้องใช้เวลากว่า 30 นาที
เจ้าหน้าที่ตำรวจจับโจรอะแวสะดอใส่กุญแจมือไว้
พอฟ้าสว่าง เจ้าหน้าที่พยายามแกะเครื่องรางที่เอวของอะแวสะดอ ตาและที่มันผูกกับลวดแข็งเอาไว้
แกะอย่างไรก็ไม่ออกอะแวสะดอ ตาและคงรำคาญเลยกระชากจนลวดขาดแล้วปาเข้าป่าไป
ไปตามเก็บมาได้จึงถามว่านี่อะไรอะแวสะดอ ตาและบอกว่าบาบีช้องหมูป่า
พอไปถึงสถานีตำรวจ ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบสวนอะแวสะดอ ตาและผู้นี้คายหัวกระสุนทั้ง 9 นัด ลงกลางโต๊ะสอบสวนที่น่าทึ่งตอนที่ยิงปืนเข้าไป อะแวสะดอ ตาและ
เอากระสุนเข้าปากไป 9 เม็ดแล้วอมไว้ ปากไม่มีรอยแตก ฟันไม่หักส่วนที่ถูกหน้าผากก็เหมือนถูกเล็บขีด
ส่วนที่ยิงตามตัวไม่ถูกเลยเสื้อผ้าก็ไม่เป็นรอยขาดภายหลังถูกจับกุม เครื่องรางของขลังต่าง ๆ
ถูกยึดไว้เป็นหลักฐาน
ทางการตำรวจจับตัวอะแวสะดอ ตาและไปที่สถานีตำรวจนราธิวาสขังไว้ 3 วันมีประชาชนตั้งแต่ปัตตานี ยะลา รัฐกลันตันแห่พากันไปดูหน้าจอมโจรเจ้าพ่อเทือกเขาบูโดแน่นขนัดโรงพัก ตำรวจเห็นว่าขืนขังไว้ที่นี่คงไม่ดีแน่จึงนำตัวอะแวสะดอ ตาและ ไปฝากขังที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาสอะแวสะดอ ตาและ
ก็เป็นเช่นขุนโจรชื่อดังในอดีตของทางภาคใต้ที่ถือว่าการตายด้วยฝีมือเจ้าหน้าตำรวจเป็นการตายที่ไร้เกียรติอย่างยิ่งสำหรับจอมโจรอย่างเขาดังนั้นไม่เกิน 10 วัน อะแวสะดอ ตาและตัดสินใจกินยาพิษฆ่าตัวตาย

ความสามารถพิเศษที่ปราบปรามจอมโจรอะแวสะดอ ตาและได้สำเร็จ ครั้งนั้นนับว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
ของขุนพันธรักษ์ราชเดช ทำให้ความสงบสุขกลับคืนมาจนได้รับการยกย่องจากคนไทยพุทธและคนไทยมุสลิมที่ต่างพากันตั้งฉายาให้ว่า “รายอกะจิ" นอกจากนี้ขุนพันธ์ฯยังได้รับพระราชทานรางวัลจากเจ้าเมืองรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ส่งมีดพกเล่มหนึ่ง มาให้ ซึ่ง ท่านขุนพันธ์ถือเป็นเกียรติอย่างสูงในชีวิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น